"วสันต์" แจงเหตุ ยุติหน้าที่ใน อสมท เพราะทำงานคนละสไตล์-คิดเห็นต่างกับบอร์ด โดยเฉพาะการจัดทำแผนธุรกิจ สหภาพฯ จี้บอร์ดชี้แจงเหตุผลที่แท้จริง นักวิชาการแนะ “วสันต์” ลุกขึ้นฟ้องตามมาตรา 45 ฉุนรัฐ หากทำแบบนี้ก็ยกเลิกแปรรูปช่อง 9 ดีกว่า ชี้ทำลายการปฏิรูปสื่อ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เปิดเผยว่า คณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือบอร์ด อสมทได้สรุปถึงการทำงานร่วมกันของตนและบอร์ดในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ระบุว่ามีการทำงานที่มีความแตกต่างกัน และเพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไป จึงมีความเห็นร่วมกันให้ตนยุติหน้าที่ โดยเป็นการออกจากตำแหน่งโดยไม่ผิดสัญญาจ้าง
“แนวทางการทำงานที่บอร์ดและผมเห็นต่างกัน คือการจัดทำแผนธุรกิจของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่บอร์ดเห็นว่าแผนที่ทำส่งเป็นแผนปฏิบัติการ อสมท แต่ผมยืนยันว่าเป็นแผนธุรกิจ เมื่อบอร์ดขอให้จัดทำใหม่ ก็ได้ดำเนินการจัดทำแผนส่งให้พิจารณาใหม่ แต่หลังจากนั้นบอร์ดก็ยังไม่เห็นชอบ และขอให้มีการปรับแผน กรณีแผนธุรกิจถือเป็นความคิดเห็นที่ต่างกันมากที่สุด” นายวสันต์กล่าว
นายวสันต์กล่าวอีกว่า การทำงานร่วมกับบอร์ดช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ตนทำหน้าที่ดีที่สุด ทุ่มเทการทำงานตามสัญญา ในฐานะคนที่เติบโตมาจากสื่อ และทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ ช่วงเวลา 1 เดือนที่เหลือในตำแหน่ง จะส่งไม้ต่องานทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อองค์กร
สหภาพ อสมท จี้บอร์ดชี้แจง
ขณะเดียวกัน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท ได้ออกแถลงการณ์ กรณีบอร์ดมีมติให้นายวสันต์ยุติหน้าที่ด้วยเหตุผล “เป็นเรื่องการทำงานที่มีแนวทางไม่ตรงกัน” ทำให้ อสมท ถูกมองจากบุคคลภายนอกว่ามีความสมประโยชน์เกิดขึ้นทั้งคณะกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เพราะคณะกรรมการสามารถเปลี่ยนตัวกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ได้ ขณะที่นายวสันต์ไม่เสียชื่อเสียงเมื่อต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่มีความผิดใดๆ
สหภาพแรงงาน อสมท จึงข้อเรียกร้อง ดังนี้ 1.ให้คณะกรรมการตระหนักและปกป้อง อสมท จากการแทรกแซงของการเมืองภายนอก รวมทั้งขอให้มีการชี้แจงถึงเหตุผลที่แท้จริงเรื่องนี้ต่อพนักงาน และผู้ถือหุ้น 2.ให้กระบวนการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่จะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใสและรวดเร็ว 3.การดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ จะต้องไม่สร้างความเสียหายหรือเป็นการซ้ำเติมองค์กรในช่วงของการเปลี่ยนแปลง 4.ระหว่างการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดของ อสมท ครั้งนี้ หากเกิดความเสียหายใดๆ ขึ้นกับองค์กรแห่งนี้ทั้งปัจจุบันและอนาคต คณะกรรมการ อสมท ต้องรับผิดชอบ
นางอรวรรณ ชูดี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ประธานบอร์ด อสมท ให้ชี้แจ้งรายละเอียด กรณีการยุติหน้าที่นายวสันต์ ในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ในเวลา 10.00 น. เพราะเหตุผลที่บอร์ดแจ้งไม่ได้สร้างความกระจ่าง และสมเหตุสมผล เพียงพอ และสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ อสมท เสียภาพลักษณ์ และเสียศักยภาพทางการแข่งขันระหว่างช่วงสุญญากาศ ที่ไม่มีกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริหารองค์กร และสิ่งที่วิตกกังวลมากที่สุดคือการเข้ามาแทรกแซงสื่อของการเมือง โดยจะจับตากระบวนการสรรหาอย่างใกล้ชิด
นักวิชาการแนะ“วสันต์”ลุกขึ้นฟ้องรัฐตามม.45
นางพิรงรอง รามสูตร อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ จากการเป็น ผอ.อสมท ว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะหากนายวสันต์มีความผิดจริงก็ไม่ควรต้องใช้วิธียุติบทบาท และข้อกล่าวหาที่นำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลงาน ผลประกอบการ หรือแผนทางธุรกิจก็เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล ทำให้เห็นได้ว่าตอนนี้มีความพยายามทำให้ช่อง 9 มาทำลักษณะเดียวกับเอ็นบีที ทำให้เราเห็นเจตนารมณ์ชัดแจ้ง การแปรรูปช่อง 9 เป็นบริษัทมหาชนก็เพื่อป้องกันเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น และไม่ต้องการให้ช่อง 9 เกิดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง และครั้งนี้ทำให้เห็นได้ว่าการแปรรูปมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ถ้าอย่างนี้ยกเลิกการแปรรูปไปเลยดีกว่า เพราะเรื่องนี้ มีอยู่สองสามบรรทัดฐานด้วยกันและมีความเป็นไปได้ที่ช่อง 9 จะกลับไปสู่ยุคแดนสนธยา
นางพิรงรอง กล่าวว่า โดยส่วนตัวรับได้กับผลงานของ อสมท.ยุคที่นายวสันต์เป็นผู้อำนวยการ เพราะมีรายการดีๆเป็นจำนวนมาก และเปิดพื้นที่ให้กับสื่อทางเลือก ขณะเดียวกันนายวสันต์เองก็เป็นมืออาชีพที่แยกระหว่างการบริหารกับการทำงานสื่อได้ ตนมองว่างานนี้นายวสันต์ควรจะทำอะไรบางอย่างเช่นการฟ้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่คุ้มครองสื่อ ในขณะเดียวกันพนักงานช่อง 9 ก็ควรลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหากไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ รวมไปถึงสมาคมสื่อก็ควรมีท่าทีเช่นกัน
นางพิรงรอง กล่าวต่อว่า ตอนนี้ต้องกลับมาถามว่าเราปฏิรูปสื่อเพื่ออะไร และเราต้องให้ประชาชนเข้าถึงคลื่นความถี่จริงหรือไม่ เพราะถึงวันนี้เราก็เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำเอาคลื่นความถี่มาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเอง เห็นได้ชัดว่านอกจากรัฐไม่มีเจตนารมณ์ที่จะปฏิรูปสื่อแล้วยังเป็นการทำลายด้วยซ้ำไป