สถานการณ์ทั้งทางการเมืองและสังคมที่อึมครึมมากว่าครึ่งปี ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ซ้ำยังจะพัฒนาความขัดแย้งมากขึ้นทุกวัน
สังคมไทยจากวันที่เคยปรองดอง วันนี้แบ่งเป็นสองสี สองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
คนสองพวกต่างประกาศ "ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ" เพียงเพราะมีความเชื่อในตัวบุคคลต่างกันเท่านั้น
รวมไปถึงเหตุการณ์ระเบิดรายวันก็เป็นเหมือนสัญญาณที่ส่งมาว่า...ใกล้เวลาที่ความรุนแรงจะก้าวถึงขีดสุดแล้ว
แต่แล้วสถานการณ์ความขัดแย้งที่เดินทางมานาน กลับจำเป็นต้องหยุดลงชั่วคราว ในวันที่ 14- 19 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ช่วงนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็จำเป็นต้องหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมืองลงทั้งสิ้น เพราะต่างฝ่ายก็ต่างอ้างความจงรักภักดีเป็นกำแพง
หากไม่หยุดกระทำการใดๆ ในช่วงนี้กระแสสังคมอาจจะตีกลับทำให้ตัวเองกลับกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ไม่ยาก
นาทีนี้จึงเหมือนเป็นการ “พักยก” ของความขัดแย้งต่างๆ ที่ดำเนินมาเกือบถึงขั้นแตกหัก
เพราะหลังจากนี้สถานการณ์ที่เคยเป็นภาพมัวๆ จะชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังจากต่างฝ่ายต่างหงายไพ่ในมือ และรอเพียงวันทิ้งลงมากลางวงเท่านั้น
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เองที่เริ่มอ่อนล้าจากการชุมนุมยาวนานเกือบครึ่งปี แม้ว่าจะเร่งให้จบหลายครั้ง แต่กลับจบไม่ลง
หลังจากนี้จึงเป็นโอกาสที่พันธมิตรจะปิดเกมลงให้ได้ เพราะการชุมนุมที่ได้ชื่อว่ายาวนานข้ามปีนั้น ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ และสร้างความเหนื่อยล้าเกินกว่าจะยอมรับได้
เงื่อนไขหลักที่ทำให้พันธมิตรจะสามารถปิดเกมได้คือ รัฐบาลเตรียมนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาในสัปดาห์หน้า ซึ่งตรงกับเป้าหมายการคัดค้านของพันธมิตรอยู่แล้ว
การประกาศไม่สังฆกรรมและต่อต้านการทำงานทุกวิถีทางจึงเกิดขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นเส้นทางเดินเข้าไปสู่สมรภูมิเก่า ที่คละคลุ้งไปด้วยคาวเลือดและคราบน้ำตา ซ้ำรอยเหตุการณ์ 7 ตุลา 2551 ที่หน้ารัฐสภา
การเดินเกมครั้งนี้ พันธมิตรเองคงต้องเล็งเห็นผลบางอย่างที่จะเกิดขึ้น เพราะความขัดแย้งครั้งนี้มิใช่เฉพาะ เรื่องรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความอยู่รอดของ "ทักษิณ ชินวัตร" โดยอาศัยมวลชนที่ยังรักเขาเป็นตัวขับเคลื่อน
เพราะหลังจากที่ “ทักษิณ” ถูกประเทศอังกฤษถอนวีซ่า ก็แสดงตัวตนและท่าทีอันชัดเจนว่าต้องการให้มวลชนช่วยอุ้มเขากลับเข้ามาในประเทศ และทำให้ตัวเองพ้นผิด
ในขณะเดียวกันมวลชนก็ต้องพร้อมชนกับพันธมิตร ที่เป็นก้างชิ้นใหญ่ ต่อการกระทำการทั้งปวง
ไม่แปลกที่หาก "พันธมิตร" จะประกาศปิดสภา ขณะที่ "นปช." ก็พร้อมจะเข้ามาเป็นเกราะให้สภาเช่นเดียวกัน
และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะได้ !!!
แม้หากวันที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรัฐบาลได้ถอนร่างออก หรือร่างแก้ไขเข้าสภาแต่ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
แต่การออกมาชี้โพรงของ "เสธ.แดง" พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ว่า หลังจากนี้มีผู้ที่พร้อมจะเข้าปะทะกับพันธมิตรซึ่งๆ หน้าด้วยความรุนแรง ก็ไม่อาจจะละเลยได้เช่นกัน
เพราะแม้หลายคนจะมองว่า "เสธ.แดง" เป็นคนที่ไม่น่าจะถือเป็นสาระ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของคนไม่เอาพันธมิตร และก็ไม่ใช่ว่าที่ "เสธ.แดง" พูดจะเป็นเรื่องที่ผิดเสียทุกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ “ทักษิณ” ประกาศสู้ยิบตา และจะใช้ยุทธการ “โฟนอิน” อีกครั้ง และ “ความจริงวันนี้” ก็พร้อมจัดเวทีให้ทุกเมื่อและทุกที่ ก็ย่อมแปลความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณรบจาก "นายใหญ่"
และหากมวลชนได้รับสัญญาณโดยตรง การเคลื่อนไหวของมวลชนฝั่งเสื้อแดงก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นก็ย่อมหมายถึงการต่อสู้เต็มรูปแบบกำลังจะเกิดขึ้น
ยิ่งมองย้อนกลับไปเหตุการณ์ในขณะนี้ช่างละม้ายกับช่วงปี 2549 ยิ่งนัก
ครั้งนั้นความขัดแย้งดำเนินมาถึงจุดใกล้แตกหัก แต่ก็ “พักยก” ไปเพราะการเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และเมื่อพ้นการเฉลิมฉลองครั้งนั้น พันธมิตรก็ประกาศการชุมนุมใหญ่ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 20 กันยายน ในขณะที่ฝั่ง “ทักษิณ” ก็ระดมพลมาเพื่อต้านเช่นกัน
การปะทะกำลังจะปะทุขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับครั้งนี้ แต่ครั้งนั้น "ทหาร" เลือกที่จะกระทำการเพื่อยุติความขัดแย้งก่อนที่สองฝ่ายจะปะทะกัน จนนำมาซึ่งการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เห็นได้ว่าการระงับเหตุ "ก่อนเกิดเหตุ" ไม่ได้ส่งผลให้เรื่องราวจบลงอย่างที่ต้องการ ซ้ำฝ่ายกระทำการยังต้องเจ็บตัวไปตามๆ กัน
ดังนั้น ครั้งนี้หากจะมีผู้ใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมายออกมาก่อนเกิดเหตุอีกครั้งคงต้องคิดให้หนัก เพราะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้ว
ฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า เหตุการณ์อันไม่อาจควบคุมจะเกิดขึ้นก่อน หลังจากนั้น "ทหาร" ถึงจะเข้ามาในฐานะผู้ควบคุมสถานการณ์ แต่ไม่กุมอำนาจ
หากเป็นอย่างนี้ก็ย่อมหมายถึงความสูญเสียที่จะต้องเกิดขึ้น
และแน่นอนว่าจะเป็นความสูญเสีย ที่เป็นทั้งบทเรียนและบาดแผลฉกรรจ์ของสังคมจนยากเกินเยียวยา !!!