ศึก “ทักษิณ” ครั้งนี้ ใหญ่หลวงนัก : ทัพไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพใจคด

รัฐบาลควรมีท่าที “ปกป้องศักดิ์ศรีประเทศชาติ” มากกว่า “ปกป้องศักดิ์ศรีนักโทษแผ่นดิน” อดีตผู้นำ ผู้กลายเป็น นักโทษชาย (นทช.) ส่งหนังสือออกทั่วโลกให้ร้ายต่อกระบวนการยุติธรรมไทย..น่ากังวลว่า “ทัพไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพใจคด”

ชาติไทยได้รับการปกป้องรักษาด้วยชีวิตโดยบรรพชนไทยสืบมายาวนาน เรามีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เรามีพระมหากษัตริย์ที่ดีเลิศ ทรงเป็นที่รักเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย พสกนิกรของพระองค์ ประเทศไทยกำลังต้องรบกับศึกหลายด้าน ด้านนอกมีวิกฤตการณ์การเงินแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นดังสึนามิกระแทกโลก แต่เมืองไทยก็รอดพ้นจากอาการ “กู้เกินตัว ลงทุนเกินตัว” ด้วยหลักปรัชญา “เศรฐกิจพอเพียง” ตามแนวทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ด้านในเรามีวิกฤตการณ์การเมือง จนอดีตผู้นำต้องโทษทุจริต หนีศาลจนเป็นนักโทษแผ่นดิน กำลังพเนจรไปทั่วโลก เป็นผู้ถูกมองว่าใช้ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือหากิน ไม่เคารพกฎหมาย รัฐธรรมนูญ

ทำธุรกิจหากินกับอำนาจรัฐของตน ผ่านภรรยา และกิจการที่ถือหุ้นแทนโดยลูก คนใกล้ชิด และกองทุนลับวินมาร์ค แอมเพิลริช ฯลฯ ขณะนี้ ได้แสดงตัวตนชัดเจนขึ้น
จนถึงขั้นวางตัวเป็น “ศัตรูของชาติ”  ถึงกับส่งจดหมายไปต่างประเทศทั่วโลก ใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทย และจงใจโฟนอินเข้ามาสร้างความแตกแยกในแผ่นดิน

ในอดีต ทุกครั้งที่บ้านเมืองตกต่ำจนเสียชาตินั้น ก็เพราะคุณธรรมตกต่ำ คนไทยแตกความสามัคคี มีผู้เห็นแก่ตัว ขายชาติ ในครั้งนี้ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก ที่แม่ทัพของเรา เป็นน้องเขยของผู้มุ่งโจมตีทำร้ายประเทศไทย !


ในโลกยุคนี้ สงครามไม่ใช่การใช้ดาบใช้ปืนอีกต่อไป ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีปัญหามากมาย รุมเร้าอย่างรุนแรง และรวดเร็ว

แต่ถ้ารัฐบาลของเรา ผู้ทำหน้าที่ดัง “แม่ทัพ” ของแผ่นดินไทยไม่สามารถเป็นที่ไว้วางใจว่า “ใจคด” หรือไม่ ? ชาติไทยเราจะสู้ภัยสงครามรอบด้านในครั้งนี้ได้หรือไม่ ?

ไทยยามได้สังเกต ประเด็นน่าเป็นห่วง การรบในหลายด้านที่รัฐบาลไม่ควรมีการกระทำที่เข้าข่าย “แม่ทัพใจคด” ดังนี้

1.ด้านต่างประเทศ รัฐบาลควรมีท่าที “ปกป้องศักดิ์ศรีประเทศชาติ” มากกว่า “ปกป้องศักดิ์ศรีนักโทษแผ่นดิน” อดีตผู้นำ ผู้กลายเป็น นักโทษชาย (นทช.) ส่งหนังสือออกทั่วโลก ให้ร้ายต่อกระบวนการยุติธรรมไทย หลังถูกพิพากษาให้ติดคุก 2 ปี คดีที่ดินรัชดา

ทั้งๆที่ นทช. ก็มิได้ชี้แจงโต้แย้งว่า ตนเป็นนายกฯ ภรรยาซื้อที่จากหน่วยงานภาครัฐ ประมูลครั้งแรกมีคนวางมัดจำ 10 ล้าน 3 รายแต่ที่สุดมิได้ยื่นประมูล มีการประมูลรอบใหม่ ลดพื้นที่เป็นพื้นที่สาธารณะ ยกเลิกราคากลางเดิม แต่กลับเพิ่มเงินมัดจำเป็น 100 ล้านบาท ตลอดจน การแก้ไขนโยบายจำกัดความสูงอาคารในบริเวณนั้น หลังภรรยาท่านประมูลสำเร็จ เป็นพิรุธส่อให้เห็นรายการที่ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ควรประมูล เพราะความอยากได้ของถูก ขัดกับความประสงค์ของรัฐที่ต้องการได้ราคาเนื่องจากต้นทุนสูงกว่า 2 พันล้านบาท เราไม่เห็นรัฐบาลมีท่าทีปกป้องศักดิ์ศรีประเทศแต่อย่างใด

แต่เมื่อรัฐบาลอังกฤษเพิกถอนวีซา คนในพรรครัฐบาลกลับเดือดร้อน จะจี้ให้รัฐบาลอังกฤษให้คำตอบว่าเพราะเหตุใด ผ่านรัฐมนตรีคนกันเองกับ นทช. ซึ่งอาจเป็นเพราะอังกฤษเขาเห็นหลายๆเรื่องประกอบกัน ทั้งจดหมายดูถูกประเทศแผ่นดินแม่ และการโฟนอินสร้างความแตกแยกด้วยการสื่อความข้างเดียว ตลอดจนการมีความสัมพันธ์กับทีวีอาลซาจีรา ถึงขั้นใช้ทำเป็นแหล่งเผยแพร่วีดีโอสัมภาษณ์ตนมายาวนาน หรือการใช้สโมสรฟุตบอลอังกฤษฟอกเงินที่ผ่านมาทำให้อังกฤษต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีก็เป็นได้

2.ด้านความสงบเรียบร้อยในประเทศ : รัฐบาลควรสร้างความ “สมานฉันท์” หา “สันติ” ด้วยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยปากอย่างเดียว รัฐบาลแสวงสันติด้วยการสนับสนุนการ “สานเสวนา” เพื่อสันติ แต่ในศูนย์กลางความขัดแย้ง คือการเอาผู้ที่สังคมส่วนรวมสงสัย มาตอบปัญหาทุกๆปัญหา แทนที่จะปล่อยให้ข้อมูลมืดมน บิดเบือน เมื่อทุกฝ่ายได้รับเข้ามูลโปร่งใสเท่าเทียมกัน จะเห็นด้วยหรือไม่ ก็แล้วแต่แต่ละคนตามระบอบประชาธิปไตย ในประเทศที่เขาเป็นประชาธิปไตย อย่างในสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน ก็ตอบทุกปัญหาในสภา แม้ข้อสงสัยในคุณธรรมส่วนตัว ในอังกฤษ โทนี แบลร์ก็ตอบปัญหา เมื่อมีผู้ซักถามถึงการเดินตามอเมริกาในปัญหาในอิรัค

นทช. ไม่เคยกล้าคุยกับ “คนรู้ทัน” แต่ขอคุยกับ “คนรู้กัน” และทุกครั้งที่จนมุม ถูกเปิดโปง จะใช้อาวุธ คือ ขอคุยกับฐานเสียงของตัว ยุยงให้แตกแยก สร้างความเกลียดชังอย่างไร้เหตุผลในสังคม ซึ่งสังคมมีคนบาปในสังคม โกงเอาเปรียบคนอื่น
 
ทุกคนก็ไม่ควรจะคิดว่า “กระบวนการยุติธรรม” จะลงโทษเพียงเพราะเป็นใครฝ่ายใคร แต่ให้โอกาสทุกคนทุกฝ่าย และลงโทษตามการกระทำอย่างถูกต้องแม่นยำ ตามหลักฐาน และความจริง ปัญหา นทช. เป็นปัญหาคดี ที่ต้องชี้แจงด้วยหลักฐานและความจริง ไม่ใช่ปลุกระดมผู้คนมาปกป้องตนเอง แต่รัฐบาลสนับสนุนรายการทีวีที่สื่อความการเมืองด้านเดียว ไม่อยู่บนความจริงที่โปร่งใส ทำให้สังคมแตกแยก

3.ด้านความมั่นคง : รัฐบาลควรปกป้องรักษา “ชาติไทย” ให้เป็นหนึ่งเดียว จะแบ่งแยกมิได้ ซึ่งชาติไทยนั้น มี 2 นัย นัยแรก คือด้านภูมิศาสตร์ มีข้อสงสัยของการหยุดปกป้องรักษาอธิปไตยในพื้นที่เขาพระวิหาร ไทยเริ่มเสียเปรียบกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ กัมพูชารุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ และอาจทำให้ไทยเสียทั้งอธิปไตยในแผ่นดินและทรัพยากรในทะเล โดยอาจเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยยอมเสีย เพราะบางคนจะได้ประโยชน์จากธุรกิจในเกาะกง และส่วนแบ่งทรัพยากรในทะเล

อีกความหมายหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า “ชาติไทย” หมายถึง ปวงชนชาวไทย ทุกคนควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กว่าจะรวมชาติด้วยความเข้มแข็ง ทุกๆชาติต้องการผู้นำที่เป็นที่ศรัทธาในความดี ความรัก ความเมตตา ด้วย “ความจริง” ผู้นำจอมปลอม แบ่งแยกแล้วปกครอง ใช้อำนาจกดขี่ตั้งแต่เรื่องเสรีภาพของการรับรู้ตวามจริง เสรีภาพในการคิดต่าง และการตรวจสอบ มักจะนำประเทศไปสู่ความเสียหายร้ายแรงในที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลจะจงใจยอมให้ชาติไทยถูกทำให้รู้ความจริงไม่เท่ากัน ยุยงให้ทะเลาะกัน เพียงเพื่อปกปิดความผิดของคนๆเดียว

4.ด้านความประโยชน์ของชาติ : รัฐบาลควรปกป้องรักษา “ประโยชน์” ของชาติ ไม่ใช่ส่วนตัวของพวกพ้อง ดังการประมูลที่ดิน ถ้าโปร่งใส รอบแรกอาจมีการประมูลไปแล้วด้วยราคากลาง 870 ล้านบาท ถ้าเงินมัดจำ 10 ล้านบาทเหมือนครั้งแรก อาจมีผู้ประมูลกว้างขึ้น ถ้าเปลี่ยนนโยบายไม่จำกัดความสูงอาคารตั้งแต่ก่อนประมูล ก็ได้ราคามากขึ้น

สรรพากรยุคใต้อำนาจ นทช. เคยช่วยหลบภาษีมากมาย ไม่เคยเอาผิดแม้ใช้เล่ห์อุบายปลอมการซื้อขายหุ้นเป็นการเลี่ยงภาษี แต่ชาวบ้าน จะต้องถูกขูดรีดภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนเริ่มจะเกินเม็ดเกินหน่วยกันแล้ว

โครงการภาษีบางช่วง ให้เฉพาะบริษัทจดทะเบียน หรือบางกิจการ แต่ชาวบ้านไม่ได้รู้กันอย่างกว้างขวาง ทำให้ยกเว้นภาษีกับกิจการพวกพ้อง จะอ้างกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเสริมการลงทุนก็ฟังยาก เพราะการลงทุนนั้น จะเป็นโทรคมนาคม 3 จี หรือจะเป็นสายการบินโลว์คอสท์ ก็เป็นการนำเข้าทั้งนั้น ไม่ได้เพิ่มการผลิตในประเทศแต่อย่างใด

การใช้งบประมาณ ก็ไม่ได้ใช้ในลักษณะทำให้ “หายจน” กองทุนต่างๆ ก็ทำให้ชาวบ้านสะสมภาระหนี้ขึ้น ออกกองทุนควบคู่กับการขยายตัวของโทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซค์ พยุงราคาเกษตรแจกเงินทุกๆปี เอากล้ายางไปให้เกษตรกร ก็โกงกันจนเดือดร้อน ระดับอุปสงค์-อุปทานที่ไม่เหมาะก็ยังทำ ชาวบ้านยังจนต่อไป ต้องพึ่งนักการเมืองต่อไป ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า หรือเป็นความตั้งใจให้ชาวบ้านจนเข้าไว้ จะได้ใช้เงินเอาเป็นพวก เพียงเป็นทางผ่านมาหากินกับอำนาจรัฐเท่านั้น !

ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ด้วยอดีตผู้มีอำนาจ ไม่ยอมชี้แจงข้อสงสัยใดๆให้ขาวสะอาดเป็นที่ศรัทธา กลับโจมตีประเทศ ทั้งด้านภาพลักษณ์ ศักดิ์ศรีต่อสายตานานาชาติ และโจมตีให้ประชาชนเริ่มแตกแยกกัน ลดมาตรฐานคุณธรรม ความดี ความรัก ความสามัคคีกันลง
 
ทำให้น่ากังวลว่า “ทัพไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพใจคด” แล้วประชาชนคนไทยก็อดทนกันต่อไปครับ

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์