ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพออกมาระบุว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่ระบุว่าจะกลับประเทศได้ ต้องอาศัยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้พระองค์อึดอัดว่า กองทัพก็ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ดูแลความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยด้วย สำหรับข้อเสนอของนักวิชาการ ให้นิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังคิดไม่ออก เพราะเวลาที่มีการนิรโทษกรรม ก็จะเป็นการนิรโทษกรรมความผิดทั่วไปที่เกิดขึ้น จะไปเจาะจงไม่ได้และคดีของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ไม่ใช่คดีการเมือง เป็นคดีผลประโยชน์ขัดกัน ทำผิดกฎหมายทุจริตเป็นคดีอาญา ซึ่งการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ต้องเป็นความผิดที่เฉพาะเจาะจง หรือเป็นความผิดที่ต่อไปนี้จะไม่ให้เป็นความผิดแล้ว คำถามคือว่าเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน เรื่องการป้องกันการทุจริตคอรัปชัน เราจะยกเว้นหรือยกเลิกหรือ
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ผบ.เหล่าทัพแสดงความอึดอัดใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง
การที่ ผบ.เหล่าทัพให้ความเอาใจใส่เรื่องนี้เป็นพิเศษ เป็นเรื่องที่ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว ทหารเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของชาติ ดังนั้น ต้องดูแลรักษาไม่ให้ใครเข้าไปล่วงละเมิด โดยต้องตรวจสอบและเอาจริงเอาจัง ตนสังเกตเห็นเหมือนที่ประชาชนสังเกตเห็นคือ ขณะนี้ได้มีคนบางกลุ่มพยายามที่จะดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเคารพเทิดทูนสูงสุด ไม่ควรจะไปก้าวล่วง เพราะฉะนั้นตนขอให้กำลังใจกองทัพทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อย่าไปยอมให้ใครล่วงละเมิดได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายเรียกร้องให้กองทัพออกมามีบทบาทอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่กองทัพบอกว่าเลยเวลาที่จะทำรัฐประหาร
นายสุเทพกล่าวว่า ตนเห็นว่าขณะนี้กองทัพทำถูกต้องแล้วคือ ไม่ยอมเป็นกองทัพของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นกองทัพของชาติ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง กองทัพไม่ควรจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ที่มีข่าวมีความพยายามเรียกร้อง ที่จะให้กองทัพเข้ามาปฏิวัติยึดอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหานั้น พรรคได้แสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยมาตลอด ตนดีใจที่เห็นผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ได้ยืนยันออกมาแน่นอนว่า เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทหารของชาติไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรค พปช.ระบุว่า การขอพระราชทานอภัยโทษกับนิรโทษกรรมแตกต่างกัน บางฝ่ายบอกว่าควรจะนิรโทษกรรมไปเลยเพื่อให้เรื่องจบ แต่ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นคดีๆไป
นายสุเทพกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเคลื่อนไหวดำเนินการทั้งสองทาง เพราะการนิรโทษกรรมหมายความว่าต้องออกกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่ตราขึ้นมาไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนคนเดียว แต่ต้องเพื่อชาติและประชาชนทั้งชาติ การจะนิรโทษกรรมโดยตรากฎหมายเป็นพิเศษ โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาที่รัฐบาลคุมเสียงอยู่ถือว่าไม่ถูกต้อง ส่วนการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อยื่นถวายฎีกา หรือเสนอกฎหมายนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ถือเป็นเจตนาที่ไม่สุจริตอยู่แล้วและไม่บังควรอย่างยิ่ง เพราะศาลได้พิจารณาพิพากษา คดีในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่เคยมีว่าเมื่อศาลมีคำพิพากษาอย่างไรแล้ว จะมาดิ้นรนเพื่อถวายฎีกา กรณีของนายวีระ มุสิกพงศ์ ที่เคยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ต้องเข้าคุกยอมรับโทษก่อน แล้วสำนึกผิด จึงได้ขอถวายฎีกา แต่ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลพิพากษาจำคุกแล้วไม่ยอมรับ แต่หนีออกนอกประเทศ ดังนั้น การจะมาถวายฎีกาก็ถือว่าไม่เหมาะสม
เมื่อถามว่า จะฝากอะไรถึง พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนกันนั้น นายสุเทพกล่าวว่า คงฝากไม่ไหวแล้ว เพราะเขาไปไกลเกินจนกู่ไม่กลับแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รายการความจริงวันนี้สัญจรจะจัดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ เกรงหรือไม่ว่าปัญหาความแตกแยกอาจจะเกิดขึ้นมากกว่าเดิม เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เขาก็ทำให้บ้านเมืองแตกแยกมากมายอยู่แล้ว สิ่งที่ได้ทำต่อไปนี้ตนคิดว่าตนคิดว่าประชาชนจะได้เห็นข้อเท็จจริง ที่ชัดเจนมากขึ้น