ผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเหมือนที่ใครต่อใครหลายคนเป็นห่วงเป็นใย
สำหรับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม นปช.
วันนั้นมีคนสังเกตเห็นนอกจาก"ตีนตบ" สัญลักษณ์ของ นปช.แล้ว
มีผู้ชุมนุมบางคนถือ"หัวใจตบ"มาร่วมงานด้วย
เห็นแล้วปิ๊ง เพราะดูนุ่มนวล ไม่แข็งกร้าวหยาบกระด้างเหมือนตีนตบ
ที่คิดกันแบบห่ามๆ ขึ้นมาเพื่อเกทับ"มือตบ"ของพันธมิตรฯเท่านั้น
หัวใจตบยังเข้ากับกระแส"สานเสวนา" ที่เน้นความจริงใจ สันติและรักสงบเป็นสำคัญในขณะนี้อีกต่างหาก
ถ้ากลุ่มเครือข่ายรักสันติต่อต้านความรุนแรงจะขอยืมไอเดียหัวใจตบมาใช้เป็นสัญลักษณ์
น่าจะได้รับการตอบรับไม่น้อย
กลับมาเรื่องที่เป็นควันหลงให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง
คือการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูง
โดยเฉพาะไฮไลต์ที่ว่า
"ใครก็เอาผมกลับบ้านไม่ได้นอกจากพระบารมีที่ทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังจากพี่น้องประชาชนเท่านั้น"
นักวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามฟันธงทันที
ว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีแผนจะขอพระราชทานอภัยโทษคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองตัดสินจำคุก 2 ปี
รวมถึงคดีความอื่นๆ อีกหลายคดีที่อยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
แต่ก็มีนักวิชาการด้านกฎหมายบางคนออกมาให้เหตุผลโต้แย้ง
ว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูงในลักษณะเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมก็จริงอยู่
เนื่องจากเป็นความพยายามดึงเอาสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง
แต่ถ้าจะตีความไปถึงขนาดว่าพ.ต.ท.ทักษิณเตรียมขอพระราชทานอภัยโทษ
ยังไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะการขอพระราชทานอภัยโทษต้องเกิดขึ้นหลังจากยอมรับโทษ
หมายความว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมาติดคุกก่อนนั่นเอง
ซึ่งเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นจึงต้องให้น้ำหนักคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ในประโยคหลังมากกว่า
"หรือไม่ก็พลังจากพี่น้องประชาชนเท่านั้น"
ด้วยจำนวน"คนเสื้อแดง"หลายหมื่นคนที่มาชุมนุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย.
น่าจะทำให้พ.ต.ท.ทักษิณมีกำลังใจ กลับไปคิดว่าจะนำพลังคนเสื้อแดงเหล่านี้มาใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
แน่นอนว่าจะต้องได้รับการต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์อย่างถึงที่สุด
สรุปว่าโอกาสที่บ้านเมืองจะกลับคืนสู่ความสงบสุข
ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน
ก็ต้องฝากความหวังไว้ที่"หัวใจตบ" ว่าจะมีประสิทธิภาพ
สู้มือตบ-ตีนตบได้หรือไม่