การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรมาปักหลักที่ฮ่องกงแล้วโฟนอินเข้ามาในรายการ”ความจริงวันนี้”ที่สนามกีฬาราชมังคลาคลาสถาน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามนอกรูปแบบที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้นำทัพด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง
วิเคราะห์
ผู้ที่ติดตามสถานการณ์การเมืองมองตรงกันว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรมาปักหลักที่ฮ่องกงแล้วโฟนอินเข้ามาในรายการ”ความจริงวันนี้”ที่สนามกีฬาราชมังคลาคลาสถาน หัวหมาก เมื่อคืนวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นการส่งสัญญาณประกาศสงครามเต็มรูปแบบของ พ.ต.ท. ทักษิณ
อาจมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมอยู่ดีๆ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเคยอ้างว่า วางมือทางการเมืองหลายครั้งหลายหน จึงต้องประกาศสงครามเต็มรูปแบบอีก
ความจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยคิดวางมือในทางการเมือง คำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีไม่เคยได้รับความเชื่อถือ เนื่องจากมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับคำพูด โดยพ.ต.ท.ทักษิณมีการเคลื่อนไหวในทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่รูปแบบการเล่นการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ คือเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังและใช้ “นอมินี”ในการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ตั้งแต่รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวชจนถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตการประมูลซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินโดยก่อนหน้านี้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปีในคดีหลีกเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาทให้แก่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรมของคุณหญิงพจมาน
ขณะที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นชินอคอร์ปให้แก่บริษัท เทมาเส็กโฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 76,000 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดินซึ่งศาลนัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 25 ธันวาคม 2551 ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถเล่นบท”ไอ้แอบ”อยู่ต่อได้ ต้องออกมาเล่นหน้าฉากด้วยตัวเองด้วยการไฟเขียวให้มีการระดมพลคนเสื้อแดงผ่านเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้จะต้องคดีระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศก็ยังคงมีพลังและบารมีอยู่เต็มเปี่ยม
เป้าหมายหลักในการประกาศสงครามเต็มรูปแบบในครั้งนี้น่าจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ
หนึ่ง ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากคดีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยเฉพาะคดีที่มีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณส่งสัญญาณว่า ต้องการขอพระราชทานอภัยโทษด้วยการ “ขอพึ่งพระบารมีให้ทรงเมตตา”เพื่อเดินทางกลับไทยได้โดยไม่ต้องติดคุก
ประเด็นนี้อาจเป็นการเคลื่อนไหวและต่อรองในทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณต่อไปซึ่งส.ส.พรรคพลังประชาชนออกมาเคลื่อนไหวรับลูกจะทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว
สอง การดิ้นรนเพื่อปกป้องทรัพย์สินในคดีร่ำรวยผิดปกติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯซึ่งคาดว่า ต้องใช้เวลาในการพิจารณานานประมาณ 4-5 เดือน เห็นชัดว่า เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่พ.ต.ท.ทักษิณเน้นในการโฟนอินและการพุ่งเป้าโจมตีกระบวนการ “ยุติ”ความเป็นธรรมเพื่อดิสเครดิตศาลฎีกาฯที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
อย่างน้อยที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่า อาจมีผลต่อการพิจารณาของศาลในบางระดับ เพราะวิธีการที่เคยใช้กับศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดีซุกหุ้นเมื่อปี 2544 ซึงทำให้พ.ต.ท.ทักษิณชนะหวุดหวิดด้วยเสียง 8 ต่อ 7 และการนำถุงขนมมูลค่านับล้านบาทไปแจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถใช้ได้ผล
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณชนะคดีซุกหุ้นนั้น ได้พร่ำพูดถึงความเป็นธรรมที่ศาลให้แก่ตัวเองโดยไม่ยอมปริปากถึงการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อเป็นฝ่ายแพ้คดีกลับกล่าวหาผู้อื่นว่า กลั่นแกล้ง มีการแทรกแซงจนเกิดความไม่เป็นธรรม
หรือความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อ เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณชนะคดีเท่านั้นหรือ
สาม ดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองไว้ให้นานที่สุด การพร่ำพูดถึงผลงานและความสำเร็จของตัวเองในช่วงเรืองอำนาจ เป็นตัวบ่งชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการรักษาอำนาจทางการเมืองของตนไว้ให้นานที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อทำให้สองเป้าหมายแรกบรรลุเป้าหมาย การรักษาอำนาจทางการเมืองของตนไว้ ถ้ายังไม่สามารถดิ้นรนให้หลุดจากคำพิพากษาให้จำคุกและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ ก็ต้องพยายามผลักให้ผ่าน “นอมินี”เหมือนปัจจุบัน
ดังนั้น ถ้ามีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ไม่ว่า ใช้ชื่อพรรคการเมืองใด พ.ต.ท.ทักษิณต้องพยายามทำทุกวิถึทางที่จะทำให้พรรคการเมืองนั้นชนะการเลือกตั้งให้ได้เสียง ส.ส.มากที่สุดเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
ภาพต่างๆดังกล่างคงชัดขึ้นหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า
แน่นอนว่า การที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายทั้งหมดได้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องอาศัยความนิยมของประชาชนที่มีต่อตนเองอย่างเหนียวแน่น
ดราม่าเรื่องครอบครัวชินวัตรถูกรังแก จนแตกกระซานซ่านเซ็น จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องความเห็นใจในการโฟนอิน รวมถึงการขอพึ่งพลังของพี่น้องประชาชนในการเดินทางกลับประเทศไทย มีข้อน่าสังเกตด้วยว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางจากกรุงลอนดอนมายังฮ่องกงซึ่งตามกฎหมายอังกฤษแล้ว ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลที่ไม่เข้าข่ายที่จะสามารถขอลี้ภัยทางการเมืองได้ซึ่งตรงกับคำยืนยันของพ.ต.ท.ทักษิณว่า ไม่ได้ยื่นขอลี้ภัยทางการเมืองต่อทางการอังกฤษ ขณะเดียวกัน การ พ.ต.ท.ทักษิณยังสามารถเดินทางไปประเทศต่างได้อย่างอิสระ บ่งบอกให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นของไทยที่พนักงานสอบสวน และสำนักงานอัยการสูงสุดที่ไม่สามารถนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมารับโทษได้
ไม่ต้งพูดถึงกระทรวงการต่างประเทศที่ง่อยเปลี้ยเสียขา ถูกครอบงำจากนักการเมืองจนไม่สามารถกระดิกได้ นี่เป็นคำตอบว่า ทำไมพ.ต.ท.ทักษิณทำไมยังต้องรักษาอำนาจทางการเมืองของตนไว้ให้นานที่สุดเพื่อควบคุม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานอัยการสูงสุดให้อยู่ใต้อาณัติ
การชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามนอกรูปแบบที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้บัญชาการด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง?