เมื่อวันที่ 28 ต.ค.นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวถึงกรณีถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กล่าวโจมตีการกล่าวปาฐกถาหัวข้อ "ยุติความรุนแรง แสวงสันติด้วยการสานเสวนา" ในการประชุมใหญ่เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม ที่กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ยืนยันว่าการพูดดังกล่าวมีเจตนาดี ไม่ได้พูดเพื่อใคร ส่วนนายสนธิกล่าวให้เสียหายนั้น จะไม่ตอบโต้ เนื่องจากเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งนี้ ต่อไปจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากถูกเชิญไปพูดที่ใดก็ตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิกล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อวานนี้(27 ต.ค.) ว่า "ดร.สุเมธชอบทำตัวตีกินเพียงอย่างเดียว ดีที่สุดคือ ต้องหุบปาก
อย่าทะลึ่งมาออกความเห็นอีกต่อไปเพราะจะถูกสวนกลับไปอีกทุกครั้ง มีคนอย่างดร.สุเมธที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นผู้ใกล้ชิด เป็นผู้ดูแลโครงการหลวง แต่ไม่สนใจอะไรกับผู้ที่ทำจาบจ้วง จึงเป็นผู้ที่ทำให้สถาบันอ่อนแอ ยังมีคนอย่างดร.สุเมธ นายโคทมและอีกมากที่ชอบพูดว่าบ้านเมืองแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เป็นการมองแบบคนโง่ ที่ถูกต้องคือบ้านเมืองแบ่งเป็นพวกที่อยู่ข้างความถูกต้องและไม่ถูกต้อง แทนที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายถูกต้อง กลับมาทำตัวเป็นศาสดาสอนให้สามัคคีกัน"
ก่อนหน้านี้ นายสุเมธกล่าวปาฐกถาดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ว่า ในชีวิตตนผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงที่จารึกฝังใจไว้หลายครั้ง
ทุกครั้งเป็นการเข่นฆ่ากันเองของคนไทยที่ถือเป็นพี่น้องเชื้อชาติเดียวกัน ซึ่งไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก เช่น การทำรัฐประหาร สงครามคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์ 6ตุลา ,14 ตุลา หรือเหตุการณ์เดือนพฤษฎา 2535 เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการใช้ความรุนแรงไม่สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ได้ หากฝ่ายใดไปฆ่าคนของอีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มความแค้นระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ทำให้ความรุนแรงทวีคูณฆ่ากันไม่รู้จักจบสิ้น อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วความขัดแย้งที่ยุติลงได้ทุกครั้ง จะเกิดจากการเจรจาตกลงกันเท่านั้นเพื่อร่วมหาหนทางสู่ความสันติ
นายสุเมธ กล่าวย้ำว่า ความคิดที่แตกต่างไม่ใช่ปัญหา ทุกฝ่ายย่อมอยากให้ประโยชน์สุขเกิดขึ้นแก่ประเทศโดยรวม
ความรุนแรงนำมาแต่ความเศร้าสลดใจ ไม่ว่าฝ่ายใดสูญเสียทุกคนก็เป็นคนไทย ไม่อยากให้สร้างบาดแผลให้เกิดขึ้นในสังคมอีก ดังนั้น ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันหันมารักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัย เกิดความสงบสุข เริ่มที่ตัวเองต้องสร้างธรรมาธิบาลให้เกิดขึ้น มีความสุจริต ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม และสุดท้ายประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นก็ตกถึงทุกคนในชาติด้วย อย่างไรก็ดี ตนขอยกพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานไว้หลังเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 บางส่วนที่ว่า
"ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็ จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ"