ย้อนเวลากลับไปสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีอำนาจในฐานะผู้นำประเทศไทยในยุคพรรคไทยรักไทยเฟื่องฟูแต่กลับมีกระแสว่า ประเทศชาติกำลังตกต่ำอาจจะเจอวิกฤตเรื่องร้ายแรง ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจึงคิดว่าควรทำบุญประเทศเพื่อปัดเป่าเคราะห์กรรมที่จะเข้ามากระหน่ำประเทศ
แต่กลายเป็นว่าการทำบุญสะเดาะเคราะห์ให้ประเทศครั้งนั้นมีกุศลกรรมนั้นแก่กล้าทำให้ประเทศชาติรอดพ้นวิกฤตมาได้ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ กลับถูกรุมยำเสียเอง เหตุมาจากสถานที่จัดงานและที่นั่งทำบุญนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักว่า"มิบังควร" เพราะไปใช้พื้นที่ใน"วัดกษัตริย์" ซึ่งเป็น พระอารามหลวงที่ตั้งอยู่ภายในเขตพระราชฐานในพระบรมมหาราชวัง การที่อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปนั่งเป็นประธานในพิธีทำบุญประเทศ ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ "วัดพระแก้ว" ครั้งนั้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548
การประกอบพิธีครั้งนี้ ได้อาราธนาพระเกจิอาจารย์ที่ทรงวิทยาคม มีปฏิปทาและฌานสมาบัติสูงจากทั่วประเทศ 108 รูป และมีพระสงฆ์จำนวน2549 รูป
หลังจากที่ทำบุญครั้งนั้นกระแส พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นสถาบันเริ่มขยายวงกว้างออกไปเมื่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งในสมัยนั้นยังจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" สัญจร กล่าวโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ปลุกกระแสปกป้องสถาบันจนกลายเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ จัดชุมนุมใหญ่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกนอกประเทศ
จนกระทั่งทหารต้องออกมาปฏิวัติเพื่อยุติปัญหาการเมืองที่ลุกลามเกิด"ปฎิวัติ 19 กันยา 2549 " โค่นอำนาจ "ทักษิณ" ในปีถัดมาหลังจากทำบุญประเทศ จนกระทั่งในปีนี้ก็ถูกศาลฎีกาตัดสินให้จำคุก 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งขณะนี้ยังคงลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษ แต่งชุดขาวทำบุญ
แม้พ.ต.ท.ทักษิณ จะหมดอำนาจในฐานะผู้นำแต่กระแสข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ส่ง "นอมินี" ตั้งพรรคพลังประชาชนเพื่อหาคนขึ้นกุมบังเหียนในฐานะนายกรัฐมนตรี
ดำเนินกิจการการเมืองเพื่อปลดแอกที่ปักหลังกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทุกคนให้หยุดทำงานการเมือง 5 ปี สร้างความเจ็บปวดให้แก่บรรดาผู้ภักดีกับหัวหน้าพรรคเป็นอย่างยิ่ง คนแรกที่ถูกเสนอขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับกระแสต้าน คือ นายสมัคร สุนทรเวช อีตนายกรัฐมนตรี กลายเป็นนายกฯอายุสั้นอยู่ไม่ทันขวบปี ก็ต้องลาออก เพราะศาลตัดสินว่า จัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกฯ ความหวังที่จะอาศัยฝีปากกล้าของนายสมัคร จึงเป็นอันต้องยุติ
เมื่อหันไปมองกรรมการพรรคพลังประชาชนก็ไม่มีใครพอที่จะไว้ใจให้เป็นหัวหน้าพรรค จึงได้ตั้งคนกันเองขึ้นมาบริหารประเทศแทน คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีฐานะเป็นน้องเขยที่แสนดี ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร
บุกคคลิกที่ใจเย็นและรับได้ทุกอย่างแม้กระทั่งรองเท้าลอยมากระแทกศรีษะหรือเจอมือตบไล่ นายสมชาย ก็ยังคงยิ้มสู้บอก "ไม่เป็นไรเป็นสีสัน" แดสงถึงความอดทน อดกลั้นเป็นอย่างมาก อ้างว่าไม่อยากให้ประเทศชาติแตกแยก แต่วันนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของอดีตนายกฯรัฐมนตรี กำลังจะดำเนินรอยตาม"พี่แม้ว"ทุกประการ ล่าสุดหลังจากที่ไป มอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อบ่ายวันที่ 27 ตุลาคม บอกว่า
"พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การทำอะไร ไม่ต้องดูฤกษ์ยาม ต้องทำทันที ไม่เช่นนั้นจะเสียเปล่า"
ด้วยเหตุนี้นนายกฯรัฐมนตรี จึงเห็นว่าจะมีการจัด"ทำบุญ"ทั้งประเทศในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2551 เพื่อประกาศว่า "พุทธศาสนา" เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เข้าฝ่ายเดียวคือฝ่ายธรรมะ
"พระธรรมกิตติเมธี โฆษกกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)" บอกว่า นายกรัฐมนตรีมากราบนมัสการที่วัด เพื่อหารือและขอคำปรึกษาเรื่องการทำบุญประเทศในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองเกิดความแตกแยกทางความคิด โดยเชื่อว่า การทำบุญสวดเจริญพระพุทธมนต์และการรับฟังเทศน์หรือบรรยายธรรมตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นการปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้หันกลับมาปรองดองกัน
การทำบุญดังกล่าวจะจัดเป็นพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม "มีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ" จะจัดในวันที่ 1 ธันวาคม ที่พุทธมณฑล จะนิมนต์พระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ทุกระดับ และพระสงฆ์จากทั่วประเทศ จำนวน 9,995 รูป มาเข้าร่วมพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร
จะเห็นว่า "น้องเขยแม้ว" ทำตามพี่ชายทุกประการยกเว้นแต่ว่า สถานที่จัดคราวนี้คงไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เหมาะสมเหมือนครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณจัดในอารามหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นที่ปุถุชนคนธรรมดาทำได้
ในท่ามกลางกระแสที่ขับไล่นายกฯตลอดเวลาเช่นนี้ก็ต้องมารอดูกันว่า นายกฯสมชายจะอยู่ถึงทำบุญประเทศหรือไปก่อนที่จะได้ทำบุญ
สมชายเลียนแบบแม้วทำบุญเสริมดวงไม่หวั่นเจอชะตาเดียวกับ ทักษิณ
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง สมชายเลียนแบบแม้วทำบุญเสริมดวงไม่หวั่นเจอชะตาเดียวกับ ทักษิณ