นับถอยหลังไปอีกไม่กี่นาที ก็จะถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของเจ้าของลัทธิ "นิยมทักษิณ" ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านคำพิพากษาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่มี ทักษิณ-พจมาน ชินวัตร เป็นจำเลย
เป็นคดีตัดสินที่มีโทษ "จำคุก" เป็นคดีแรก
มีการคาดการณ์กันว่าทันทีที่ผลคำพิพากษาออกมา "บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ"
เพราะบรรดาสาวกของลัทธิ "นิยมทักษิณ" ที่ระดมกันมาปักหลักรออยู่รอบเมืองจะแสดงแสนยานุภาพในทันที ภายใต้การนำของ "นปช."
ถึงนาทีนั้นก็ต้องวัดใจเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ว่าจะควบคุมสถานการณ์อีท่าไหน อย่างไร ???
กองทัพจะเคลื่อนตัวออกจากเงามืดเพื่อ "หยุดการใช้อำนาจ" ของรัฐบาลอย่างที่ได้ลั่นวาจาไว้หรือไม่ ???
เพราะเมื่อดูจากสถานการณ์ที่บีบรัดเข้ามารอบด้าน ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยสักนิด
ทุกฝ่ายพยายาม "ปิดเกมเร็ว" เร่งปฏิกิริยาให้เกิดสถานการณ์ที่ยากแก่การควบคุม
ในเมื่อ "นายใหญ่" ไม่สั่งถอนสมอ ลิ่วล้อต้องเร่งเดินหน้าดันทุรังจนวินาทีสุดท้าย
สัญญาณจากปาก "สมชาย" ที่เล่นบทดื้อตาใส รวบหัวรวบหาง 6 พรรคร่วมแถลงจุดยืนทำงานสำคัญต่ออีก 3 งาน เป็น "สัญญาณอันตรายที่ 1"
เพราะการตัดสินใจตอบโต้เกมหักดิบของ "ผู้นำเหล่าทัพ" ด้วยการดื้อแพ่ง ไม่ไยดีต่อแรงบีบทางอ้อมของทหาร เท่ากับกำลังเดินสู่จุดอับ และอายุของรัฐบาลยิ่งจะสั้นลงๆ
ขณะที่การเปิดแนวร่วม นปช.ที่นัดระดมพลตั้งแต่สุดสัปดาห์ เพื่อให้รอฟังคำตัดสินคดีแห่งทศวรรษ เป็น "สัญญาณอันตรายที่ 2"
เพราะเท่ากับ "นายใหญ่" พร้อมประกาศสงครามประชาชน อันจะนำมาซึ่ง "สงครามกลางเมือง" ที่ควบคุมไม่ได้ในที่สุด
การดันทุรังเข็น ส.ส.ร.3 ผ่านที่ประชุมร่วม 4 ฝ่าย ทั้งๆ ที่ไร้เงาประธานวุฒิสภา ประสพสุข บุญเดช และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็น "สัญญาณอันตรายที่ 3"
เพราะเท่ากับรัฐบาลกำลังทำทุกวิถีทางให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญกลายมาเป็นความชอบธรรมของตัวเอง รวบหัวรวบหางโดยพลการ ท่ามกลางสุญญากาศการเมือง
และแน่นอนว่าจะถูกจับตาและต่อต้านจากฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตว่ามีกระบวนการพยายามแก้ไขเพื่อช่วยให้ "นายใหญ่" พ้นผิด
ถึงแม้การระบุองค์ประกอบของ ส.ส.ร.3 ที่ดูมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะมาจากประชาชนทุกจังหวัด นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และนักกฎหมายมหาชน 24 คน หรือตัวแทนสาขาอาชีพอีก 20 คน
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดระแวงของฝ่ายตรงข้ามลดน้อยลง เพราะประเด็นเรื่องการ "บล็อกโหวต" เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และไม่พ้นรัฐบาลจะส่งคนของตัวเองเข้ามาตามสัดส่วนหน้าตาเฉย
ฉะนั้นการส่งสัญญาณอันตรายถึง 3 ดอกซ้อน ก่อนวันตัดสินชี้ชะตา "ทักษิณ" เพียงไม่กี่ชั่วโมง จึงทำให้มองเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากการจงใจยั่วยุสถานการณ์
หากทำสำเร็จ นั่นหมายถึงเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายก่อนนาทีพิพากษา ก็แปลว่าโชคเข้าข้าง "ทักษิณ"
เพราะนั่นหมายถึงเงื่อนไขในการขอ "ลี้ภัยการเมือง" จะมีน้ำหนัก โดยอาศัยเหตุชุลมุนวุ่นวายที่ว่านี้เป็นข้ออ้าง
แต่จนแล้วจนรอด โชคก็ไม่เข้าข้าง "ทักษิณ"
เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุชุลมุน นับตั้งแต่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลครั้งแรก หรือกระทั่ง นปช.ฝ่าด่านจากสนามหลวงมาหน้าสะพานมัฆวานฯ ชนิดไร้แรงต้านจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เสมือนจงใจให้เกิดเหตุนองเลือด !!!
แต่เหตุการณ์ก็ยุติลง เมื่อ "ทหาร" ก้าวออกมายับยั้งสถานการณ์
มาถึง "เหตุการณ์ 7 ตุลา" ว่ากันว่าเป็นความพยายามซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้สถานการณ์ตึงเครียด และนำไปสู่จลาจล
แต่สุดท้าย "ทหาร" ก็ก้าวออกมา แม้จะสายไปแล้วเมื่อเทียบกับการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของฝ่ายพันธมิตรก็ตาม
กระนั้น เสียงปฏิเสธจากปาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ว่า กองทัพไม่รู้เรื่อง พร้อมกับปกป้องการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำตาม "คำสั่ง" ก็แสดงถึงความไม่พอใจอย่างแรง และเป็นปฏิกิริยาแรกของกองทัพที่มีต่อรัฐบาล
สายข่าวจากกองทัพประเมินสถานการณ์ในมุมกลับว่า "กองทัพ" จำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สถานการณ์เข้าขั้นรุนแรง เพื่อประโยชน์ขอฝ่าย "ผู้ขอลี้ภัยการเมือง"
ท่าทีของ "กองทัพ" จะยังไม่ขยับจากที่ตั้ง จนกว่าผลการอ่านคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯ จะเสร็จสิ้นกระบวนความ
สอดรับกับกระแส "ปฏิวัติเงียบ" ที่จงใจโยนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ไปทั่วประเทศเมื่อไม่กี่วันก่อน เสมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนครั้งสุดท้าย
ถ้าเป็นไปตามที่สายข่าวกองทัพประเมินสถานการณ์เอาไว้ ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า นับจากนาทีนี้บ้านเมืองจะถูกปรับเข้าสู่โหมด "สงครามกลางเมือง"
และมาตรการ "หยุดการใช้อำนาจ" จะถูกงัดออกมาใช้ในอีกไม่กี่อึดใจ