เปิดตัว ร.อ.อภิชาติ ภูพวกทหารไทยที่ถูกเขมรอ้างจับเป็นตัวประกัน

จับผิดคำพูด ฮอ นัม ฮง ลักไก่กองทัพไทย หลัีงให้สัมภาษณ์อ้าง จับกุมนายทหารไทยได้ 10 นาย ที่แท้เป็นกลุ่มทหารประสานงานกับกัมพูชา ด้านบัวแก้วร่วมแจง 63 ทูตถึงเหตุการกลับมาของทุ่นระเบิด ทำร้ายชาวบ้าน ทหารแนวชายแดน

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ได้สัมภาษณ์พิเศษ ร.อ.อภิชาติ ภูพวก หนึ่งในสองทหารชั้นสัญญาบัตรที่ปรากฏอยู่ในภาพหลังที่มีการเผยแพร่ออกไป หลังนายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาอ้างว่ามีทหารไทย 10 นายที่ถูกทางกัมพูชาจับไว้ได้ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม รอ.อภิชาติกล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในทีมทหารประสานงานของไทย 13 นาย ที่ประจำการอยู่บนวันแก้วศิขะคีรีมาได้ 3 เดือนแล้ว ทำหน้าที่ประสานงานกับทหารกัมพูชาและทำงานเรื่องวิทยุสื่อสารทั้งหมด เมื่อเกิดเหตุยิงกันที่ภูมะเขือ มีการยิงลามเป็นแนวไปหมด และยิงขึ้นมาบนวัดซึ่งตนประจำการอยู่ จึงได้ไปเจรจาขอหัวหน้าชุดของทหารกัมพูชาว่าขอให้หยุดยิง 

"เราไม่ได้ถูกปลดอาวุธเขาไม่ได้ทำอะไรเราเลยเราไปเจรจากันดีๆเขาบอกเราว่าอยู่ในวัดห้ามพกอาวุธได้ไหมผมก็ตกลง ผมไม่รู้ว่าข่าวที่ออกไปทำไมเขาถึงบอกว่าผมโดนจี้ไปแล้ว ทั้งที่ผมเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกควบคุมตัว ไม่มีนักข่าวมาคุยกับผม มีแต่มาถ่ายรูปเท่านั้น"รอ.อภิชาติกล่าว 

รอ.อภิชาติกล่าวด้วยว่า ผู้บังคับบัญชายังติดต่อตนอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ตนยังบอกทางกัมพูชาให้ชาร์จเครื่องปั่นไฟตลอดเวลาเพื่อติดต่อกับผู้บังคับบัญชา

ขณะนี้ทหารไทยที่อยู่ในวัดเหลืออยู่แค่ 11 นาย เพราะเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมาทหาร 2 นายที่ป่วยกลับลงไปแล้ว หลังหยุดยิงมีทหารไทยบาดเจ็บ ฝ่ายกัมพูชาก็ยังช่วยขนคนเจ็บลงไปด้วย 
"อาวุธทุกชนิดของเราอยู่กับเราทั้งหมด ภาพที่ออกไปมีผมโบกมือ มันเป็นการโบกมือเพื่อห้ามยิงไม่ใช่มอบตัว เขาให้เกียรติเราดี หาน้ำหากาแฟให้ดื่ม ยังดูข่าวจากทีวีด้วยกัน ไม่มีการทำร้ายหรือจี้ใดๆ ทั้งสิ้น เห็นข่าวที่ออกไปผมงงมาก"รอ.อภิชาติกล่าว 

วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการบรรยายสรุปกับคณะทูตต่างประเทศในไทยในหัวข้อเรื่อง"การกลับมาของทุ่นระเบิดสังหารบุคคล"

โดยมีผู้เข้าร่วม 63 คน เป็นเอกอัครราชทูต 25 คน อุปทูต 10 คน และผู้แทนคณะทูตอีก 28 คน ใช้เวลาบรรยายสรุปราว 1 ชั่วโมง 15 นาที โดยมีการลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การที่ทหารพรานของไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ การเดินทางเยือนกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่มีการยื่นคำขาดจากนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จนกระทั่งเกิดการปะทะเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุการณ์เดี่ยว แต่เกิดขึ้นเป็นระยะแล้ว นอกจากนี้สภาพทุ่นระเบิดที่เก็บกู้ได้เป็นทุ่นระเบิดที่ถูกฝังไว้ใหม่ และมีการนำเอาทุ่นระเบิดใหม่กับภาพทุ่นระเบิดเก่าที่ตรวจพบในพื้นที่มาแสดงให้ดู 


พล.ท.ดำรงศักดิ์ดีมงคล ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กล่าวว่า ครั้งแรกที่ได้รับรายงานว่าทหารไทยเหยียบกับระเบิด ค่อนข้างแปลกใจ

เพราะพื้นที่ซึ่งทหารไทยลาดตระเวนเป็นเส้นทางที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดหมดแล้ว เนื่องจากชาวบ้านก็ใช้เส้นทางดังกล่าว แต่หลังเกิดเหตุได้ตรวจพบระเบิดใหม่เพิ่ม 2 ลูก จึงทำเครื่องหมายไว้และเตรียมไปพิสูจน์ซาก แต่พอกลับไปอีกครั้งปรากฏว่าระเบิดนั้นหายไปหมด พอหาเพิ่มก็พบอีก 1 ลูก จึงให้เจ้าหน้าที่เฝ้าเอาไว้และรอให้เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศพร้อมกับเจ้าหน้าที่จากโครงการลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน(มอม)ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ได้รับเงินสนับสนุนจากญี่ปุ่นที่ทำงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนเข้าไปดู จากการพิสูจน์พบว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ชนิดพีเอ็มเอ็น-2 ผลิตในรัสเซีย ซึ่งกองทัพไทยไม่ได้ใช้ 

"ลักษณะดินข้างเคียง และจากการสอบถามผู้ประสบเหตุที่อยู่ในโรงพยาบาลสันนิษฐานได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ เพราะอำนาจทำลายรุนแรง ชิ้นส่วนของขากระเด็นไปแขวนอยู่บนต้นไม้ แสดงให้เห็นว่าระเบิดทำงานเกือบ 100% ของน้ำหนักระเบิด ขณะที่หากเป็นทุ่นระเบิดเก่าอำนาจทำลายล้างจะลดลงไปกว่า 60%"พล.ท.ดำรงศักดิ์กล่าว 

นายอมรชัย ศิริไสย์ ผู้บริหารมอมกล่าวว่า จากประสบการณ์ในการทำงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดของมอมซึ่งพบวัตถุระเบิดกว่า 2,000 ชิ้น แต่ไม่เคยเจอทุ่นระเบิดที่ใหม่อย่างนี้ มีการปิดเชื้อปะทุที่แน่นมากและต้องใช้อุปกรณ์ใหม่สำหรับเปิด

ประเทศที่วางทุ่นระเบิดดังกล่าวถือว่าละเมิดพันธกรณีในอนุสัญญาออตตาวา การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องประณาม เพราะไม่ได้วางเพื่อการฆ่าทหารเท่านั้นเพราะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้ด้วย 
นายจักรินฉายะพงศ์ รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กล่าวว่า ทุ่นระเบิดที่ถูกวางไว้ใหม่เป็นการละเมิดบทบัญญัติข้อแรกของอนุสัญญาออตตาวา ประเทศไทยกำลังพิจารณานำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของภาคีอนุสัญญาผ่านเลขาธิการยูเอ็นเพื่อให้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้โดยเราต้องมีหลักฐานที่เพียงพอเพื่อให้เลขาธิการยูเอ็นพิจารณาคำร้องของเรา และแจ้งคำตอบให้ได้ทราบภายใน 28 วันหลังจากที่เราแจ้งไป ถ้าไม่ได้รับคำตอบ หรือไม่พอใจคำตอบก็อาจนำเข้าสู่ที่ประชุมภาคีอนุสัญญาเพื่อให้ส่งคณะมาสืบหาข้อเท็จจริงในพื้นที่ต่อไป 

นายวีรชัยพลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศกล่าวว่า สำหรับกระทรวงการต่างประเทศเรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องใหญ่มากๆ และเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปี

ซึ่งเชื่อว่าประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาออตตาวาเขาก็เห็นด้วย ไทยได้ขอให้เขาช่วยเหลือเราเพื่อค้นหาให้ได้ว่าใครเป็นผู้นำระเบิดมาฝังไว้ ความจริงวันนี้ก็ได้เชิญอุปทูตกัมพูชามาด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรลับหลังแต่ท่านก็ไม่มา 
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้เคยสอบถามไปยังกัมพูชาหรือไม่นายวีรชัยกล่าวว่า ตามขั้นตอนหากสงสัยว่าประเทศใดละเมิดพันธกรณีในอนุสัญญาออตตาวาข้อ 8 คือเราต้องถามประเทศนั้นๆ แต่เป็นการถามผ่านเลขาธิการยูเอ็น ซึ่งมันมีกลไกและมีกรอบเวลาซึ่งจะเริ่มนับ เพราะถ้าเราถามเขาเฉยๆ เขาอาจจะไม่ตอบ แต่เนื่องจากการยื่นเรื่องตามที่กำหนดไว้ในข้อ 8 นี้ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ก็ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลสักหน่อย และไทยได้รับเกียรติให้ทำตรงนี้ 

นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า คณะทูตได้สอบถามว่ามีทางหรือไม่ที่จะทิ้งปัญหาไว้ก่อน การเปิดให้บุคคลที่สามหรืออาเซียนเข้ามาดู

ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการเมืองภายในของกัมพูชาหรือไม่ รวมถึงม.190 เป็นอุปสรรคหรือไม่ด้วย 
นายวีรชัยยังกล่าวถึงประเด็นการเผชิญหน้าระหว่างไทย-กัมพูชาว่าในฐานะอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ รัฐบาลไทยไม่กลัวและพร้อมจะไปสหประชาชาติและศาลโลกถ้าจำเป็น แต่ขณะนี้เรายังไม่เห็นความจำเป็นเพราะแม้แต่ขั้นแรกคือการเจรจาทวิภาคี เราก็ยังไม่ได้เริ่มคุยกัน แล้วทำไมจึงต้องวิ่งไปหาบุคคลที่สาม 

"ดูเหมือนปัญหาคือกัมพูชาใจร้อน และไม่อาจรอได้ ไม่ประสงค์จะให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญของเรา เหมือนว่าเขาไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วนำไปอ้างว่าไม่สามารถกลับเข้าสู่แนวทางทวิภาคีกับไทยได้ ตั้งแต่ทำงานกฎหมายมา ไม่เคยเห็นคู่เจรจาใดใจร้อนเท่ากัมพูชาในเรื่องนี้เลย"นายวีรชัยกล่าว 

ทั้งนี้มีรายงานว่าในวันเดียวกันนี้กระทรวงการต่างประเทศยังได้ส่งบันทึกช่วยจำประท้วงอย่างรุนแรงไปยังสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเพื่อประท้วงกรณีการปะทะกันระหว่างทหารสองฝ่ายเมื่อวันที่15 ตุลาคมที่ผ่านมา

ต่อกรณีการปะทะกันเพิ่มเติมอีก 1 จุดที่ผามออีแดง ซึ่งทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยโดยใช้ปืนไร้แรงสะท้อน ปืนอาร์พีจี และปืนครก ยิงใส่ทหารไทยจนทำให้ทหารไทยต้องยิงตอบโต้ จนเป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ทหารกัมพูชาอ้างว่ามีการยิงกันซึ่งจุดที่กัมพูชาอ้างว่ามีการปะทะกับไทย 3 จุดนั้น ตรวจสอบแล้วเกิดขึ้นในเขตแดนไทยทั้งหมด ไม่ใช่จุดที่กัมพูชาอ้างถึง 

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์