ถก5ชม.ยุติศึก ไทยเขมรพักรบ


ยุติศึกไทย-เขมรบนโต๊ะเจรจาเขาพระวิหาร แม่ทัพภาค 2 นำทีมถกกับแม่ทัพกัมพูชานานถึง 5 ชั่วโมง ก่อนเปิดแถลง 2 ฝ่ายได้ข้อยุติให้ถอนกำลังออกจากจุดปะทะ และให้ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่าให้เผชิญหน้ากันอีก โดยให้จัดชุดลาดตระ เวนร่วมเพื่อป้องกันข้อพิพาทซ้ำ ก่อนพบกันอีกรอบ 21 ต.ค.นี้ ย้ำไม่มีทหารไทยถูกจับอย่างที่เป็นข่าว ขณะที่นายกฯเตรียมไปปลอบขวัญทหารในพื้นที่ ด้านปลัดกลาโหมมั่นใจไทยสู้ได้ทุกชาติในอาเซียน ยันพันธ มิตรคิดไปเองว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการเมือง บัวแก้วฮึ่มเขมรอย่ายั่วยุอีกหลัง"ฮอร์ นัม ฮง"รมว.ต่างประเทศเขมรอ้างไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฝ่ายค้านประกาศยุติตรวจสอบรัฐบาลชั่วคราวให้เวลารับมือศึกเขมร สมเด็จพระบรมฯ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ และทูลกระหม่อมหญิงอุบล รัตน์ พระราชทานดอกไม้เยี่ยมทหารที่บาดเจ็บ ส่วนการค้าแนวชายแดนหลายจว. เจอผลกระทบเต็มๆ เงียบเป็นป่าช้า ด้านบัวแก้วเชิญทูตทั่วโลกมารับฟังข้อเท็จจริง แจงทหารไทยแค่ป้องกันตัวเท่านั้น ระบุเขมรละเมิดอนุสัญญาเพราะวางทุ่นระเบิดชุดใหม่ไว้เพียบ

-ทัพภาค 2 เสริมกำลังรับศึก

ความคืบหน้าสถานการณ์ปะทะกันระหว่างทหาร ไทยกับกัมพูชา เมื่อ 01.30 น. วันที่ 16 ต.ค. บริเวณบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีขบวนรถบรรทุกทหารหลายสิบคัน บรรทุกทหารพร้อมด้วยอาวุธหนักเบาครบมือจากหลายหน่วยในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 เดินทางไปยังบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เสริมกำลังทหารตามแนวชายแดน ขณะเดียวกันมีขบวนรถถัง 5 คัน และรถส่งกำลังบำรุงเคลื่อนขบวนออกจากบริเวณที่ตั้งข้างหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 ไปยังภูมะเขือและช่องตาเฒ่า เพื่อเสริมกำลังเพิ่มเติม

ต่อมาเวลา 09.00 น. พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 นำคณะนายทหารระดับสูงเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์มาถึงหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับพล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิ ภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ซึ่งมีกำหนดที่จะประชุมเจรจากันที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โดยมีนายทหารระดับสูงของ กองกำลังสุรนารีเข้าร่วมประชุมและรายงานสถาน การณ์ให้ทราบ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาเขาพระวิหาร ขณะที่ด้านหน้าหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 มีการขอความร่วมมือไม่ให้สื่อมวลชนทุกแขนงเข้าไปภายในอย่างเด็ดขาด เนื่อง จากทางฝ่ายทหารแจ้งว่า กำลังมีการประชุมหารือกันเกี่ยวกับความมั่นคง

-มทภ.2 เจรจากับแม่ทัพเขมร

ด้านทหารกัมพูชานั้นมีรายงานข่าวแจ้งว่าตั้งแต่ช่วงเช้า ฝ่ายกัมพูชาขนกำลังพลรวม 10 คันรถ พร้อมอาวุธหนัก-เบา รวมทั้งปืนใหญ่จำนวน 4 กระบอก มุ่งหน้าไปยังเขาพระวิหาร เพื่อเสริมกำลัง

ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 นำคณะนายทหารระดับสูงเดินทางโดยรถตู้จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทร ลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไปร่วมประชุมกับ พล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชาที่ห้องประชุม ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามขึ้นไปแต่อย่างใด

-สรุปถอนกำลังจากจุดพิพาท

เวลา 16.00 น. ที่บริเวณสนามหน้าร.ร.ภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน หลังประชุมร่วมกับ พล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โดยใช้เวลาในการประชุมนานกว่า 5 ชั่วโมง ว่า ผลการเจรจายังไม่มีความคืบหน้า แต่มีการตกลงกันว่าจะมีการถอนกำลังออกจากบริเวณที่มีการพิพาทกัน โดยจะมีการวางมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ทั้งนี้จะให้มีการลาดตระเวนร่วมกันในพื้นที่ที่การพิพาทรวมทั้งบริเวณที่มีการปะทะกัน โดยการลาดตระเวนนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสงสัยก็จะนัดหมายกันออกลาดตระเวนร่วมกันทันที แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อไปว่า ซึ่งที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างลาดตระเวนเมื่อมาพบกันจึงมีปัญหามาโดยตลอด ดังนั้นจึงได้วางมาตรการให้การลาดตระเวนร่วมกัน กำลังทหารทุกฝ่ายยังคงรักษาอธิปไตยของตนเองไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการวางกำลังทหารแต่อย่างใด

สำหรับปัญหาการปะทะกันที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากว่าลาดตระเวนมาพบกันและไม่มีการพูดจากัน จึงเกิดกระทบกระทั่งระหว่างระดับผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานเล็กๆ ส่วนผู้บังคับบัญชาระดับสูงมีความเข้าใจกันดี และเมื่อมีการวางมาตรการที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเชื่อว่าปัญหาจะไม่เกิดขึ้นอีก ส่วนที่มีข่าวว่าทหารไทยถูกควบคุมตัวไว้ 10 นายนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากว่าหลังจากที่ประชุมร่วมกันที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารแล้วตนเดินทางไปสำรวจบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ร่วมกับ พล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชาก็ไม่พบว่ามีการควบคุมตัวทหารไทยไว้แต่อย่างใด

-ดูแลกำลังแต่ละฝ่ายให้ดี

"การประชุมในวันนี้เป็นการตกลงกันในระดับผู้บังคับบัญชาว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะควบคุมดูแลกำลังพลในส่วนของแต่ละฝ่ายให้อยู่ในความเรียบร้อย ซึ่งผมจะได้นำเอาข้อเสนอของทางฝ่ายกัมพูชาเข้าประชุมอาร์บีซีระดับภูมิภาค ซึ่งจะมีการประชุมอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ต.ค.นี้ ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ต่อไป" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว และว่า สำหรับกรณีทุ่นระเบิดรอบเขาพระวิหารนั้น เป็นเรื่องของหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดแห่งชาติที่จะต้องดำเนินการ ส่วนจะมีการเก็บกู้ต่อไปอย่างไรนั้นก็จะต้องมีการเตรียมการกันอีกครั้งหนึ่ง และในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาร่วม หากว่าเป็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตประเทศไทย

-นายกฯจัดคิวเยี่ยมทหาร

ที่กระทรวงกลาโหม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปและมอบนโยบายแก่ ผบ.เหล่าทัพในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รมว.กลาโหมว่า ปัญหาชาย แดนไทย-กัมพูชาไม่มีการพูดถึงในที่ประชุม เพราะมีการพูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพไปแล้ว ผบ.เหล่าทัพมีมาตรการดำเนินการชัดเจนอยู่แล้ว ชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ในการรักษาพรมแดนอธิปไตยของเราไว้ได้อย่างดี ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญ ทำให้พวกเรามีความอุ่นใจเวลาเกิดเหตุ ทั้งนี้เรายึดมั่นในหลักของการเจรจา เพราะการปะทะที่เกิดขึ้นไม่ได้ใหญ่โต อาจมีบาดเจ็บบ้างแต่ก็เป็นภารกิจ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการต่อสายพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพราะมีคณะกรรมการเจรจาอยู่แล้ว

นายสมชายกล่าวอีกว่า ในช่วงเที่ยงวันที่ 18 ต.ค. จะเดินทางไปเยี่ยมและให้กำลังใจทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดว่าจะเดินทางไปโดยรถยนต์หรือเฮลิคอปเตอร์ เพราะเขาไม่ให้บอก เมื่อถามว่าข่าวที่ทหารไทย 10 นายถูกจับตัวเป็นประกันนั้นจริงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า รู้แต่ว่ามีทหารบาดเจ็บ แต่เรื่องจับไม่มีการรายงานเข้ามา เมื่อถามว่าตกลงจะพูดคุยกับนายกฯ กัมพูชาเมื่อไหร่ นายกฯ กล่าวว่า จะหาจังหวะที่เหมาะสม ต่อข้อถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นการทำสงครามจิตวิทยาของกัมพูชาหรือไม่ นายสมชายปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยเดินเลี่ยงออกไปทันที

-ปลัดกห.ยันไทยไม่ได้เริ่ม

พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า นายสมชายหารือกับ ผบ.สูงสุดและ ผบ.เหล่าทัพอย่างต่อเนื่องถึงแนวทางที่จะปฏิบัติในส่วนของกระทรวงกลาโหม ทุกครั้งที่พูดคุยท่านจะยกย่องและเชื่อมั่นในวินัยของกองทัพ เมื่อถามถึงปัญหาด้านความมั่นคงด้านชายแดน พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า ทุกคนมีความห่วงใยไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งการประชุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมามีการพูดและยืนยันว่าเราจะไม่เป็นฝ่ายที่เริ่มต้นยิงก่อนอย่างเด็ดขาด ตรงนี้ชัดเจนว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายที่เริ่มต้นก่อน แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มต้นก่อน

เมื่อถามว่าเหตุใดกัมพูชาถึงมารุกในช่วงนี้ ทั้งที่เราได้ดูแลพื้นที่ร่วมกันตลอด พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า คงเป็นเรื่องการเมืองของฝ่ายกัมพูชา เท่าที่ทราบเขามีปัญหาภายในอยู่ เมื่อถามย้ำว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่หรือไม่ พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ ส่วนเรื่องการข่าวที่รายงานเข้ามาไม่มี เมื่อถามว่าหากมีเสียงจากทางกัมพูชาก่อนจะมีมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า กองทัพมีแผนปฏิบัติตามขั้นตอนอยู่แล้ว เมื่อมีการยิงเข้ามาเรามีแผนที่จะตอบโต้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ไว้หมดแล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มกำลังจะดูเท่าที่จำเป็น ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่เป็นรองเรื่องการรบในประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด


เมื่อถามถึงกลุ่มพันธมิตรตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการเมือง พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลหรือรายงานทางการข่าวที่ทำให้คิดไปในรูปแบบนั้นได้จึงไม่ยืนยัน น่าจะคิดกันไปเองของกลุ่มบุคคลอื่นๆ

-บัวแก้วฮึ่มเขมรอย่ายั่วยุ

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศต่างประเทศ กล่าวว่าถึงข่าวที่ฝ่ายกัมพูชาให้ความเห็นว่าสมาชิกอาเซียนเข้าข้างไทยกรณีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะไทยเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ว่า ไทยไม่เชื่อว่าแต่ละประเทศอาเซียนจะเข้าข้างฝ่ายใด เพราะทุกประเทศมีวุฒิภาวะ มีความเป็นอิสระเต็มที่ในการดำเนินนโยบายต่างประ เทศ และมีความคิดเป็นของตัวเอง ประเทศอาเซียนอยู่มา 40 ปี มีสมาชิกทั้งเก่าและใหม่ จึงอาจมีความรู้สึกร่วมในฐานะอาเซียนที่แตกต่างกัน

นายธฤตกล่าวอีกว่า ส่วนแถลงการณ์ของนายบัน คี มุน เลขาธิการยูเอ็น ที่เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นและยืนยันให้มีการกลับสู่โต๊ะเจรจาในระดับทวิภาคีนั้น เป็นแนวทางเดียวกับที่ไทยเรียกร้องและยึดถือตั้งแต่ครั้งแรกที่กัมพูชานำประเด็นปราสาทพระวิหารเข้าสู่เวทีพหุภาคี ทั้งในอาเซียนและคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา โดยแถลงการณ์ล่าสุดของเลขาธิการยูเอ็นถือเป็นแถลง การณ์ฉบับที่สองที่เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศใช้เวทีทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา และหากดูจากประวัติศาสตร์ทุกครั้งที่มีสงครามที่สุดก็ต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาทั้งสิ้น

"ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังรออยู่ที่ปากประตู ทำไมเราต้องไปเสียเงินและเสียเลือดเนื้อ ไทยเห็นว่าไร้สาระที่จะต้องมาใช้กำลังกัน เราย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องใช้ความอดทนอดกลั้น และที่สุดก็ต้องกลับไปสู่โต๊ะเจรจา จึงขอเรียกร้องอีกครั้งว่ากรุณาอย่ายั่วยุ" นายธฤตกล่าว และว่าแม้กำลังอาวุธฝ่ายไทยจะมีเหนือกว่า แต่นอกจากที่เราจะไม่เป็นฝ่ายยิงก่อนแล้ว ในการยิงตอบโต้เรายังใช้เพียงอาวุธที่เท่ากันเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ขยายตัว และขอให้กัมพูชากลับสู่แนวทางทวิภาคีซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

-"ฮอร์ นัมฮง"มั่ว-ไทยเริ่มก่อน

วันเดียวกันสำนักข่าวดีพีเอรายงานว่า นายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ภายหลังเชิญทูตต่างประเทศเข้ารับฟังสถานการณ์ความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารกับฝ่ายไทยว่า รัฐบาลกัมพูชาจำเป็นต้องหันไปขอให้องค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาหาทางออก เพราะองค์กรอาเซียนซึ่งทั้งกัมพูชาและไทยเป็นสมาชิกอยู่นั้นไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอในการเข้ามาทำหน้าที่คนกลาง เนื่องจากปัจจุบันไทยมีสถานะเป็น ประธานอาเซียน

นายฮอร์กล่าวด้วยว่า ผลจากการปะทะทางทหารเมื่อวันพุธที่ผ่านมามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 2 นาย ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากรุกล้ำเขตแดนกัมพูชาก่อน อย่างไรก็ตาม กัมพูชาจะยังคงใช้ความอดทนอดกลั้นสูงสุดต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แต่มีสิทธิป้องกันตัวเองเช่นกัน

-ยูเอ็นห่วงวอน 2 ฝ่ายอดกลั้น

สำหรับปฏิกิริยาประชาคมโลก โฆษกนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงว่า นายบันรู้สึกกังวลใจอย่างยิ่งต่อเหตุยิงปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งรายงานข่าวทหารบาดเจ็บ ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ด้านรัฐบาลสหรัฐแถลงขอให้ไทยและกัมพูชาใช้ความอดกลั้น แก้ไขความขัดแย้งด้วยช่องทางทางการเมือง ส่วนนายบิล แรมเมล รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอังกฤษ แสดงความกังวลต่อข่าวการปะทะ และขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดกลั้น เร่งหาทางคลายความตึงเครียด และใช้สันติวิธีแก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจาทวิภาคี พร้อมประกาศเตือนชาวอังกฤษเลี่ยงการเดินทางไปยังบริเวณชายแดนของ 2 ประเทศ

ด้านสำนักข่าวเอพีและรอยเตอร์รายงานว่า ความตึงเครียดตามแนวชายแดนทำให้ชาวบ้านกัมพูชาหลายพันคนที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้กับเชิงเขาพระวิหารต้องรีบเก็บข้าวของ เสื้อผ้า และอาหาร อพยพออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เพราะเกรงว่าสถานการณ์จะรุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนั้น กองทัพกัมพูชายังสั่งเสริมกำลังทหารและรถเกราะเข้าประจำการประชิดชายแดนไทยอีกด้วย เพราะได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ตื่นตัวและพร้อมรบตลอดเวลา

-ฝ่ายค้านยุติตรวจสอบรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุ การณ์การปะทะกันระหว่างทหารกัมพูชาและทหาร ไทยว่า พรรคขอเป็นกำลังใจและชื่นชมเจ้าหน้าที่ของกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหา พรรคจะชะลอเรื่องการตรวจสอบรัฐบาลไว้ก่อน ที่ผ่านมากองทัพและกระทรวงต่างประเทศได้ทำงานหนักและทำหน้าที่ได้ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลควรปฏิบัติอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลควรเดินหน้ายืนยันว่าปัญหานี้ยุติได้ในการเจรจาทวิภาคี 2 ฝ่าย ซึ่งมีกรอบการทำงานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยกระดับเรื่องนี้ไปสู่อาเซียน สห ประชาชาติ เมื่อถามว่ากัมพูชาพยายามจะยกระดับไปสู่อาเซียน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศต้องชี้แจงถึงประชาคมโลก และสิ่งที่ได้ยินจากคำชี้แจงของกองทัพ จุดยืนชัดว่าประเทศไทยไม่รุกรานใคร รักษาสิทธิ์รักษาอธิปไตยของเรา กับประเทศเพื่อนบ้านเรามีโครงการความช่วยเหลือกัมพูชามาก ไม่ว่าเงินกู้ หรือสร้างถนน ฉะนั้นเราไม่มีเจตนาจะไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอยู่ ตนในฐานะฝ่ายค้านจะชี้แจงเท่าที่ทำได้กับสื่อต่างประเทศ

-บีโอไอให้ชะลอลงทุนในเขมร

นายส่งศักดิ์ ลิมบานเย็น ผู้อำนวยการกองประสานการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า มีนักลงทุนไทยไปลงทุนในกัมพูชามากเป็นอันดับที่ 5 รองจากมาเลเซีย เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน ซึ่งขณะนี้นักลงทุนที่ลงทุนอยู่แล้วคงจะต้องดำเนินการต่อไป แต่นักลงทุนหน้าใหม่คงจะชะลอการลงทุนไปเลย เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

-เอกชนไทยยันไร้ปัญหา

นางมัทนา เหลืองนาคทองดี ผู้อำนวยการสำนัก งานสื่อสารองค์กร บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหา ชน) กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริษัทสั่งให้นักงานคนไทยที่ทำงานในกัมพูชาทั้งหมด 20 คนกลับไทยตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. เป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้ว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะอพยพพนักงานคนไทยกลับทันที และให้พนักงานท้องถิ่นชาวกัมพูชาดูแลธุรกิจต่อไป สำหรับธุรกิจของบริษัทในกัมพูชา มี 4 แห่ง คือโรงงานปูนซิเมนต์ในเมืองกัมปอต ซึ่งอยู่ทางตอนใต้กัมพูชา ธุรกิจแผ่นพื้นคอนกรีตซีแพค ธุรกิจปูนซีแพค และเอสซีจี เทรดดิ้ง รวมมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 140 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และผู้บริหารเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ส.อ.ท.กำลังติดตามเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาว่าจะยืดเยื้อหรือไม่ ในเบื้องต้นยังไม่มีธุรกิจของสมาชิกส.อ.ท.ได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งขณะนี้มีธุรกิจและอุตสาหกรรมลงทุนในกัมพูชา อาทิ โรงแรม โรงงานปูน คอนแทคฟาร์มมิ่ง ท่องเที่ยว และการค้าชายแดนมีมูลค่ารวมกันประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนการค้าขายของเครือสหพัฒน์นั้นไม่มีการส่งสินค้าโดยตรงไปยังกัมพูชา มีเพียงแต่ยี่ปั๊วที่ค้าขายระหว่างกันเอง จึงคาดว่าไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเครือสหพัฒน์

-ดอกไม้ประทานทหารกล้า

วันเดียวกัน นายวิโรจน์ เหมือนแก้ว รองผวจ. อุบลราชธานี และคณะเหล่ากาชาดจังหวัดอัญเชิญแจกันดอกไม้ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารกัมพูชาที่ภูมะเดื่อ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะ เกษ และถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จำนวนทั้งสิ้น 7 นาย ประกอบด้วย ร.ท.ธนพล พงษ์เสือ จ.ส.อ.แสวง สมอินทร์ ทพ.วิรัตน์ บุญมาก ทพ.กิตติศักดิ์ เพชรพักตร์ ทพ. ทองสา คำนนท์ ทพ.จรวย วงศ์คำ และ ทพ.บุญฤทธิ์ ขันตี โดยราย ทพ.บุญฤทธิ์มีอาการบาดเจ็บสาหัส จึง ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ซึ่งมีเครื่องมือใช้รักษาพร้อมกว่าโรงพยาบาลทหาร


ต่อมา พล.อ.เสริมศักดิ์ วิเศษไชยศรี รองประธานมูลนิธิคุณพุ่ม เจนเซน ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ อัญเชิญแจกันดอกไม้ประทานเข้าเยี่ยมนายทหารที่บาดเจ็บทั้ง 7 ราย โดยพล.อ.เสริมศักดิ์พูดคุยสอบถามอาการ ซึ่งทั้งหมดยังมีกำลังใจดีและมีบาด แผลได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส. แบบสัดส่วนเขต 4 พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นตัวแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรค นำดอกไม้ไปเยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานที่ปะทะกับทหารกัมพูชาด้วยเช่นกัน

-ตลาด 2 ฝั่งเจ๊ง-หนีภัยสงคราม

ที่ จ.ศรีสะเกษ จ.ส.อ.เกริกชัย ผ่องแผ้ว รักษาราชการแทนนายอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เรียกประชุมด่วนทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมแผนอพยพประชาชนออกจากบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรี สะเกษ ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่มีตลาดนัด แต่ปรากฏว่ามีชาวไทยและชาวกัมพูชาพากันมาหาซื้อสินค้าเพียงเล็กน้อย เนื่องจากหวาดกลัวการปะทะกันนั่นเอง

ส่วนตลาดกัมพูชาซึ่งอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาก็เงียบเหงาเช่นกัน เนื่องจากชาวกัมพูชาจำนวนมากที่มาค้าขายอยู่ที่บริเวณช่องสะงำ พากันอพยพกลับไปอยู่ที่ อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากช่องสะงำประมาณ 18 ก.ม. ด้านแนวชายแดน อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ มีทหารไทยพร้อมด้วยรถถังหลายสิบคันตั้งฐานปฏิบัติการเป็นจุดอยู่ตลอดตามแนวชายแดน

-สุรินทร์ก็เหงา-นักพนันเผ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ฝั่งตรงข้ามบ่อนกาสิโนในโอเสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ว่าเมื่อด่าน ตม.ช่องจอม เปิดประตูเหล็กให้ชาวกัมพูชาสัญจรขึ้นฝั่งไทย มีชาวกัมพูชาทั้งพ่อค้าและราษฎรกัมพูชาบางตาประมาณ 100 คน มีปริมาณน้อยกว่าปกติมาก

นายดำรงชัย เนรมิตรกตพงศ์ นายอำเภอกาบเชิง กล่าวว่า จุดผ่านแดนถาวรช่องจอมยังคงเปิดให้ประชาชนชาวไทยและกัมพูชาซื้อขายสินค้าตามปกติ แต่วันนี้มีกลุ่มแม่ค้ากัมพูชาเข้ามาน้อย สำหรับนักพนันคนไทยน้อย เนื่องจากไม่ไว้วางใจความปลอดภัย

นายธีระวัฒน์ สุขสุด นายอำเภอพนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้สั่งปิดจุดผ่อนปรนช่องกร่าง ต.บักได แล้ว จนกว่าสถานการณ์แนวชายแดนจะปกติ เมื่อถามว่ามีสมาชิก อปพ. เรียกร้องให้ราชการมอบอาวุธปืนลูกซองป้องกันหมู่บ้านนั้น นายธีระวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปกครองอำเภอพนมดงรักส่งมอบปืนให้กับผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ใกล้ที่ตั้งปราสาทตาควาย ประกอบด้วยบ้านไทยนิยมพัฒนา, บ้านไทยสันติสุข ต.บักได และผู้ใหญ่บ้านใกล้ที่ตั้งปราสาทตาเมือนธม ประกอบด้วย บ้านหนองคันนาสามัคคี และบ้านหนองตาเลิฟ ไปแล้ว ในส่วนของสมาชิก อปพ.ยังไม่ให้อาวุธปืน เนื่องจากที่ผ่านมามีบางรายไปใช้ผิดประเภท คือนำไปล่าสัตว์ป่า

-สระแก้วเตือนอย่าไปกัมพูชา

ที่ จ.สระแก้ว นายศานิต นาคสุขศรี ผวจ.สระแก้ว กล่าวว่า ที่ จ.สระแก้วยังไม่มีปัญหา ความสัมพันธ์ของฝ่ายทหาร พลเรือนและฝ่ายปกครองยังแน่นแฟ้นกันดีทั้งสองประเทศ แต่ยอมรับว่าเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะที่ตลาดโรงเกลือ ซึ่งชาวกัมพูชายังไม่กล้าเข้ามา รอดูท่าทีอยู่ แต่การค้าขายยังเป็นปกติ ส่วนฝ่ายปกครองได้แจ้งให้ประชาชนรับทราบว่าอย่าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงแต่ระยะนี้หากไม่จำเป็นอย่าข้ามไปกัมพูชา นอกจากนี้ในส่วนของนักพนันของไทยที่ข้ามไปเล่นการพนันที่กัมพูชาก็ลดน้อยลง เนื่องจากไม่มั่นใจ ส่วนการเปิดด่านยังเป็นปกติ และหากมีเหตุฉุกเฉินจริงขณะนี้มีความพร้อมในการรับมือและช่วยเหลือในพื้นที่แล้ว ทั้งนี้ เวลา 14.00 น. ทราบว่าแม่ทัพภาคที่ 1 จะเดินทางไปหารือกับผู้บัญชาการภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชาที่บริเวณด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

-บัวแก้วชี้แจงทูตทั่วโลก

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ พร้อมด้วยนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นายอนุสนธิ์ ชินวรรโณ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก นายจักรินทร์ ฉายะพงษ์ รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ พล.ท.ธำรงศักดิ์ ดีมงคล หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ทีแมค) และนายอมรชัย ศิริไสย์ ผู้บริหารโครงการมูลนิธิลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน (มอม) ร่วมแถลงข่าวภายหลังเชิญคณะทูตานุทูตและองค์การระหว่างประเทศที่ประจำการในไทย มาฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยมีผู้ร่วมรับฟัง 64 คน เป็นเอกอัครราชทูต 25 คน อุปทูต 10 คน และเจ้าหน้าที่ 29 คน

คณะผู้ชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศบรรยายสรุปเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งให้ดูภาพในพื้นที่เกิดเหตุ เช่น ภาพทหารพรานไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด เศษเนื้อหลุดเป็นแผ่นกองบนพื้นดิน ส่วนชิ้นส่วนเท้ากระเด็นไปติดอยู่บนยอดไม้ ภาพทุ่นระเบิดที่พบในบริเวณภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่อย่างแน่นอนเพราะมีสภาพใหม่มาก

-แฉเขมรวางทุ่นระเบิดชุดใหม่

พล.ท.ธำรงศักดิ์กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 6 ต.ค. ทำให้แปลกใจมาก เพราะเก็บกู้ทุ่นระเบิดในบริเวณดังกล่าวไปบ้างแล้วและเส้นทางที่ทหารพรานลาดตระเวนเป็นเส้นทางที่ใช้เป็นประจำและมีชาวบ้านบางส่วนใช้เส้นทางนี้ด้วย และจากการตรวจสอบยังพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมอีก 2 จุด ซึ่งพบว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ ชนิดพีเอ็มเอ็น-2 น้ำหนัก 0.4 ก.ก. ผลิตในรัสเซียและกองทัพไทยไม่เคยใช้ พร้อมชี้แจงว่าไทยลงสัตยาบันในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอนและกำหนดให้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแล้ว และทำลายทุ่นระเบิดที่มีอยู่ในคลังแสงจนเกือบหมด คงเหลือไว้เล็กน้อยเพื่อการศึกษาเท่านั้น ทหารที่เหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 6 ต.ค. เผยว่าอำนาจระเบิดค่อนข้างรุนแรง เพราะหากเป็นระเบิดเก่าอำนาจทำลายล้างจะเหลือแค่ร้อยละ 60 เท่านั้น

ด้านนายอมรชัย ศิริไสย์ กล่าวว่า องค์กรมอมทำงานมาตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 เก็บกู้ระเบิดมาไม่ต่ำกว่า 100 ตร.ก.ม. พบระเบิดเก่า 2,000 ชิ้นและเศษโลหะ 5,000 ชิ้น แต่ยังไม่เคยพบระเบิดสภาพใหม่เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน พร้อมเรียกร้องให้ทางการทูตร่วมประณามเพราะทุ่นระเบิดไม่ได้มุ่งสังหารทหารเท่านั้น เนื่องจากชาวบ้านก็ใช้เส้นทางนี้ด้วย

-ฟ้องยูเอ็น-เขมรละเมิด

ส่วนนายจักรินทร์เผยว่า ไทยกำลังพิจารณาจะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการตามอนุสัญญาออตตาวา โดยไทยจะต้องรวบรวมหลักฐานเพียงพอเพื่อเสนอให้รัฐภาคีอนุสัญญาโดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติให้ตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อหาคำตอบว่าใครเป็นผู้วางทุ่นระเบิดซึ่งจะต้องได้คำตอบภายใน 28 วัน หากไม่ได้รับคำตอบภายในกำหนดหรือไม่พอใจในคำตอบก็จะยื่นเรื่องผ่านเลขาฯ สหประชาชาติอีกครั้ง เพื่อนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาออตตาวาเพื่อให้รัฐภาคีร่วมกันขอให้รัฐที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางทุ่นระเบิดออกมาชี้แจงอีกครั้ง

นายวีระชัยเสริมว่า กลไกนี้เป็นการยื่นเรื่องที่ขอให้ภาคีที่กระทำผิดได้อธิบายโดยยื่นผ่านเลขาธิการยูเอ็น ถ้าเราได้คำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจภายใน 28 วัน ก็สามารถส่งเรื่องไปยังที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาให้เข้ามาตรวจสอบ ขั้นตอนดังกล่าวเป็นไปตามอนุสัญญาที่ได้ระบุไว้ แต่ข้อนี้ยังไม่เคยมีการนำมาใช้มาก่อน ถ้าไทยจะใช้ก็จะเป็นประเทศแรกที่ได้ใช้ช่องทางนี้ แม้จะไม่มีบทลงโทษแต่ก็ระบุให้ภาคีต้องปฏิบัติตามและเรียกร้องให้ยุติการกระทำที่ละเมิดต่อสนธิสัญญา

ทั้งนี้ ไทยลงนามให้สัตยาบันอนุสัญญาออตตาวาเมื่อปี 2540 ส่วนกัมพูชาลงนามในสัตยาบันดังกล่าววันที่ 28 ก.ค.2542

-แฉอุปทูตเขมรไม่ยอมมา

นายธฤตกล่าวอีกว่า วันที่ 16 ต.ค. มีคนไทยกลับจากกรุงพนมเปญแล้ว 467 คนโดยเครื่องบินสายการบินไทยและยังมีแรงงานไทยอีก 100 คนที่เดินทางกลับไทยทางรถยนต์จากเมืองกำเปาะผ่านมาทาง จ.ตราด และในวันที่ 17 ต.ค.กำลังจะกลับมาอีกโดยให้คนไทยตัดสินใจเองว่าจะกลับหรือไม่

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ กล่าวอีกว่า เรื่องทุ่นระเบิดที่พบใหม่นี้สำหรับกระทรวงการต่างประเทศถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ ในรอบ 10-20 ปี ขอให้สมาชิกรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาช่วยกันค้นหาคำตอบว่าใครเอาทุ่นระเบิดมาฝัง ขณะเดียวกันก็แสดงภาพถ่ายที่ปรากฏในเว็บไซต์ลอสแองเจลิส ไทม์ ซึ่งเป็นรูปทหารกัมพูชานั่งอยู่กับทหารไทยซึ่งถูกฝ่ายกัมพูชาแอบอ้างว่าเป็นทหารไทยที่ถูกฝ่ายกัมพูชาจับกุมตัวไว้ แต่ความจริงคือภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อครั้งที่ทหารไทยและกัมพูชาพยายามผูกมิตรกันท่ามกลางความตึงเครียดเรื่องปราสาทพระวิหาร ปัจจุบันนี้ทหารไทยในรูปก็ยังมีชีวิตเป็นปกติสุข

นายวีรชัยกล่าวว่า การบรรยายในครั้งนี้มีการเชิญนายอุก โสพอน อุปทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย มาร่วมรับฟังด้วย เพื่อให้ทราบว่าไม่ได้มีการเจรจาลับหลัง แต่ปรากฏว่าอุปทูตไม่มา

-ลั่นพร้อมสู้ถึงศาลโลก

เมื่อถามว่ากระทรวงการต่างประเทศมองกลไกการแก้ปัญหาผ่านศาลโลกอย่างไร นายวีรชัยกล่าวว่า ไทยไม่ละทิ้งทางเลือกใดๆ ซึ่งศาลโลกเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไทยเรียกว่าการระงับข้อพิพาทด้วยสันติตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เป็นส่วนที่สำคัญและเป็นที่ยอมรับ ไทยไม่ได้รับอำนาจของศาลโลกอยู่ ถ้าจะไปขึ้นศาลโลกไทยต้องทำความตกลงและมอบอำนาจกับคู่กรณี ซึ่งขณะนี้ไทยไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำเพราะยังมีช่องทางอีกมาก เริ่มจากทวิภาคีก่อนแล้วจึงไปสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน ถ้าทำไม่ได้แล้วจึงไปสู่ศาล โลก แต่ปัญหาคือกัมพูชาใจร้อน ไม่อาจรอได้ และได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าไม่สนใจกระบวนการตามรัฐ ธรรมนูญของไทยแล้วนำไปอ้างว่าไม่สามารถกลับเข้าสู่แนวทางทวิภาคีกับไทยได้

"ไทยไม่กลัว เราพร้อมจะไปศาลโลกถ้ามีความจำเป็น แต่ตอนนี้ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องไปศาลโลก และเราเห็นความสำคัญในการเจรจาระดับทวิภาคี ตั้งแต่ผมเจรจามาตั้งแต่กรณีบ้านร่มเกล้า ผมไม่เคยเห็นคู่เจรจาประเทศใดที่ใจร้อนเท่ากับกัมพูชา และเรื่องกับกัมพูชาเราก็ได้เริ่มการเจรจาจริงๆ เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมานี้เอง" นายวีรชัยกล่าว และว่า ไทยก็แค่ชี้แจงข้อเท็จจริงตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ สิ่งที่พยายามที่สุดคือใช้ช่องทางนี้ ไทยเรียกร้องให้ใช้ความอดทนมาตลอดและรอคอย แต่ปัญหาชายแดนต้องใช้เวลา ผ่านการเจรจา

-ผบ.สส.เผยเจรจาราบรื่น

เวลา 17.15 น. วันเดียวกัน พล.อ.ทรงกิตติ จักกา บาตร์ ผบ.สส. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล. ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์สดในรายการข่าว "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางช่อง 3 ช่วงจับประเด็นร้อน โดยมีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินรายการ

พล.อ.ทรงกิตติตอบข้อซักถามถึงสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้แม่ทัพภาคที่ 2 หารือกับกัมพูชา โดยตกลงขั้นต้นจะเจรจาอีกครั้งในวันที่ 21 ต.ค.นี้ โดยคงกำลังและลาดตระเวนร่วมกันเช่นเดิม การดำเนินการครั้งนี้นำไปสู่การเจรจาและเป็นกลไกความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งเราดำเนินการมานานแล้ว โดยมีความร่วมมือระหว่างภูมิภาคระหว่างแม่ทัพทั้ง 2 ฝ่าย และระดับรัฐบาล คือเจบีซี ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปสู่การเจรจาแล้ว

-ชี้ฮุนเซนได้รับรายงานผิด

"กองทัพมีความพร้อม ซึ่งมีแผนป้องกันชายแดนและแผนป้องกันประเทศ ไม่อยากให้คนไทยตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ กองทัพไทยทั้ง 3 เหล่าทัพและ ตชด.มีความพร้อมทุกด้าน ซึ่งผู้บังคับบัญชาทำตามขั้นตอนบนพื้นที่ที่ต้องการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติ เราจะรักษาอธิปไตยไม่ยอมให้ใครมารุกล้ำอธิปไตยดินแดนของเรา" พล.อ.ทรงกิตติกล่าว

เมื่อถามว่าเหตุใดท่าทีสมเด็จฮุนเซ็นจึงแข้งกร้าวกำหนดเส้นตายกับฝ่ายไทย พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า อาจเป็นเพราะเขาได้รับการรายงานจากพื้นที่ แล้วเข้าใจว่าอาจมีการรุกล้ำของฝ่ายไทย ท่านจึงแสดงออกและห่วงใยพูดออกมาทางสื่อมวลชน แต่ขั้นนี้กลับมาสู่การเจรจาแล้ว ซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุดของ 2 ประเทศ

-ผบ.ทบ.ชี้ยาก-"แม้ว"มีเอี่ยว

พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุปะทะกองทัพวางกำลังตามแนวชายแดนปกติ เมื่อมีเหตุที่สมเด็จฮุนเซ็นประกาศเส้นตายจึงหารือกับรัฐบาลว่าจะให้ทำอย่างไร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเตรียมรับมือสถานการณ์โดยโยกย้ายกำลัง ทั้งนี้ กองทัพบกวางกำลังพร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ และทำอย่างสมเกียรติภูมิของชาติ

เมื่อถามว่ามีคนวิเคราะห์ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีส่วนกับเหตุขัดแย้งไทย-กัมพูชา พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ลึกซึ้งเกินที่จะตอบเรื่องนี้ หากมีจริงยากที่จะทราบ เราคงไม่มีเวลาไปนั่งคิดส่วนนั้น เราเห็นจากสื่อที่ว่ากำหนดมาตรการกับไทย จึงเตรียมรักษาอธิปไตยของไทย ไม่ให้ใครมารุกล้ำดินแดน เชื่อว่าคงไม่น่าจะมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น หากทหาร 2 ฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี ส่วนแผนเตรียมอพยพคนไทยกองทัพมีความพร้อมทุกแผนรองรับไว้และทบทวนแผนต่อเนื่อง

-พระบรมฯพระราชทานดอกไม้

ที่ จ.อุบลราชธานี นายชวน ศิรินันท์พร ผวจ. อุบลราชธานี อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ มอบเป็นกำลังใจแก่ทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บและนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารค่ายสรรพสิทธิประสงค์ รวมทั้งโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบล ราชธานีทั้ง 7 นาย สร้างความปลื้มปีติแก่เหล่าทหารและญาติที่มาเฝ้าดูแลอาการเจ็บป่วยจากการปะทะกับทหารกัมพูชาเมื่อบ่ายวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา

ต่อมา พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมอาการทหารที่บาดเจ็บและได้พูดคุยสอบถามเหตุการณ์ตอนปะทะ กับร.ท.ธนพล พงษ์เสือ หน.ชุดทหารพรานที่เกิดการปะทะ โดยร.ท.ธนพลเล่าให้แม่ทัพภาคที่ 2 ฟังว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้ลำธารบนภูมะเขือ ก็ถูกกองกำลังทหารกัมพูชาใช้จรวดอาร์พีจีและปืนยาวประจำกายระดมยิงเข้าใส่ โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดนานหลายนาที จนมีกำลังเสริมเข้ามาช่วยลำเลียงทหารที่บาดเจ็บออกจากที่ปะทะมารักษาตัว

-เอเอฟพีเผยทหารเขมรตายศพที่3

เอเอฟพีรายงานว่า ผู้แทนกองทัพไทยและกัมพูชาเปิดประชุมร่วม(a)(b)(c)(d)กันนาน 5 ชั่วโมง เพื่อหาทางออกกรณีความขัดแย้งพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร โดยผลลัพธ์เบื้องต้นไม่คืบหน้าเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ แต่จะไม่เผชิญหน้ากันและจัดชุดลาดตระเวนร่วมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุปะทะกันซ้ำรอยขึ้นอีก นอกจากนี้ พันตรีมี เยือน ของกัมพูชา กล่าวว่า ยอดทหารกัมพูชาผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะกับฝ่ายไทยเพิ่มจาก 2 นายเป็น 3 นาย โดยศพล่าสุดเสียชีวิตช่วงเช้าวันพฤหัสบดีหลังจากล้มป่วยเพราะสูดเอาควันจากเครื่องยิงลูกระเบิดเข้าไปมากไป ขณะที่พล.อ.เตีย บัน รัฐมนตรีกลาโหม ให้สัมภาษณ์ในกรุงพนมเปญว่า ผลลัพธ์จากการเจรจาออกมาในทางบวก ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันดีว่าไม่สามารถแยกกันลาดตระเวนได้เพราะอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

-คุมเข้มสถานทูตไทยในกัมพูชา

เอเอฟพีแจ้งว่า เหตุยิงปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ได้ปลุกกระแสรักชาติในกรุงพนมเปญ โดยชาวบ้านกัมพูชาหลายคนให้สัมภาษณ์สื่อว่า พร้อมจับอาวุธปกป้องประเทศและจะไม่ยอมสูญเสียให้แก่ไทย และหากทหารไทยยังพยายามล่วงล้ำเข้าไปในพรมแดนก็พร้อมเข้าร่วมกับกองทัพ ส่วนบรรยากาศในกรุงพนมเปญ รัฐบาลฮุนเซนส่งตำรวจปราบจลาจลคอยอารักขาสถานเอกอัครราชทูตไทยเพื่อป้องกันเหตุบุกเผาสถานทูตซ้ำรอยปี 2546 และส่งตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลธุรกิจของไทย

สำหรับปฏิกิริยานานาชาติ ประธานาธิบดีสุสีโล บัมบัง ยุทโธโยโน ผู้นำอินโดนีเซีย 1 ใน 10 ชาติสมาชิกกลุ่มอาเซียน แถลงว่า พร้อมอาสาเป็นคนกลางเข้าไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือใช้ความอดทนอดกลั้นและเข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพ ด้านนายฉิน กัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ชาติผู้บริจาคเงินช่วยเหลือกัมพูชารายใหญ่ ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกต่อสถานการณ์ความรุนแรง และเรียกร้องให้ทั้งสองชาติหาทางยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์