เมื่อเวลา 17.15 น. วันที่ 16 ต.ค. พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. และ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ได้ให้สัมภาษณ์สด ในรายการข่าว “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทางช่อง 3 ช่วง “เจาะข่าวเด่น” โดยมีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการถามว่า กองทัพประเมินสถานการณ์การเมืองในบ้านเมืองเป็นอย่างไร พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ความคิดเห็นแตกต่างกันสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ในลักษณะที่ประนีประนอม มีรากฐานเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ความคิดเห็นต่างนำไปสู่การพัฒนาตามหลักประชาธิปไตย เรายืนยันว่าจะปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถานการณ์ที่ความคิดเห็น แตกต่างนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 เราจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่เจอเนอเรชั่น
“สถานการณ์เรายังประนีประนอมได้ และในที่สุดคนไทยจะกลับมาสู่การปรองดองและสมานฉันท์ เราบอกว่าคนไทยรักประเทศชาติ ยึดถือองค์พระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด เรามีหน้าที่ปกป้อง เราต้องทำอย่างนั้น กลับมาทำหน้าที่คนไทย ลองหันกลับมาประนีประนอมกัน คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้ เพื่อต้องการให้ประเทศเจริญก้าวหน้า ในภาวะเศรษฐกิจและปัญหาขณะนี้เราต้องสามัคคีกัน” พล.อ.ทรงกิตติกล่าว เมื่อถามว่า บทบาทกองทัพต่อสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างไร
พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันให้กองทัพมีหน้าที่เตรียมกำลัง เพื่อปกป้องอธิปไตยและรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
และช่วยพัฒนาประเทศ รวมทั้งงานที่รัฐบาลมอบหมาย ผู้ดำเนินรายการถามอีกว่า สถานการณ์ปัจจุบันกองทัพถูกเรียกร้องให้เลือกข้าง พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ทั้งสองข้างคือประชาชนใช่หรือไม่ เราก็อยู่ข้างประชาชน แต่เราต้องทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เมื่อถามว่า หากการเมืองไม่ยุติ ผบ.สส.จะเป็นหัวคณะปฏิวัติหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ไม่มีในความคิดของตน แต่เป็นความคิดของคนที่พูด และไม่ใช่ความคิดของกองทัพไทย เรายืนยันว่ากองทัพรักษาบทบาทหน้าที่ตามกฎหมาย และพร้อมที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนเรื่องความแตกแยกทางการเมือง ไม่อยากให้เป็นความแตกต่างของสังคมไทย ขอให้กลับสู่สังคมไทยที่อยู่ร่วมกัน
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า การที่จะพูดเรื่องเลือกข้าง ซึ่งมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย อยากเสนอสังคมว่า หากเรายังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก็จะเกิดวิกฤติไม่มีทางจบลงได้
จะเรียกได้ว่าประเทศชาติน่าจะล่มจม หากเป็นเช่นนั้นทางออกของชาติ คนไทยต้องอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นแตกต่างได้ แต่ทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ร่วมกันได้ หากเอาตัวตนอัตตามาตั้งไว้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น หากมีฝักมีฝ่าย วิกฤตินี้ผ่านไม่ได้ ยืนยันว่าการผ่านวิกฤตินี้คนไทยต้องยอมรับความคิดเห็นแตกต่าง โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายและหาทางอยู่ร่วมกัน
ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีเสียงให้ทหารออกมายุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า หากการแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติ แล้วทำให้ปัญหาจบ ก็น่าจะพิจารณาร่วมกันทุกภาคส่วน ไม่ใช่กองทัพอย่างเดียว
แต่ปัจจุบันตนติดต่อสื่อหลายส่วน ซึ่งสื่อที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่บอกว่าไม่เห็นด้วย นักวิชาการก็ไม่เห็นด้วย ทำแล้วประเทศชาติเสียหาย ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้น การแก้ปัญหาคือทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยและหาจุดร่วมกันให้ได้ ส่วนจุดยืนกองทัพอยู่ที่ใด กองทัพคงเลือกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะขณะนี้มีการเรียกร้องต้องอยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ประเทศเราคงแบ่งเป็นฝ่ายไม่ได้ หากประชาชนแยกเป็น 2 ฝ่าย แล้วผู้ถืออาวุธยังแยกฝ่ายอีก ประเทศชาติจะวิบัติ คิดว่าไม่มีความเป็นไปได้
เมื่อถามถึงกรณีที่ท่านบอกให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบการสลายม็อบวันที่ 7 ตุลาคม พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ความรับผิดชอบที่เกิดความเสียหายมีผลกระทบ
สิ่งที่ตามมาคนในสังคมรับไม่ได้ จึงเกิดเป็นกระแสขึ้นลุกลามไปถึงสถาบันตำรวจ หมอ จึงทำให้ยิ่งไปกันใหญ่ หากจะไปแก้ว่าแล้วยังไงคงไม่ได้ คงต้องไปทำให้มันจบ ต้องมีคนออกมารับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบเรื่องนโยบายการสั่งหรือการปฏิบัติต้องสอบสวนกันไป ดูตามเหตุผล กฎหมาย และหลักการที่จะทำได้ น่าจะสร้างความพึงพอใจให้กับคนในชาติได้ มิเช่นนั้นคงไม่ได้