มาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ความรุนแรงที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้หลีกเลี่ยง
ในที่สุดก็มาถึงสุดทางแล้ว
จากการปะทะกันดุเดือด ระหว่างม็อบพันธมิตรฯกับตำรวจปราบจลาจล ตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ 7 ต.ค.เป็นต้นมา
กลายเป็นความ"พลิกล็อก" ที่หลายๆ คนคาดไม่ถึง
กลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีที่ปากร้ายกาจอย่างนายสมัคร สุนทรเวช ผู้มีแววตาและวาจา อาฆาตมาดร้ายต่อม็อบพันธมิตรฯอย่างจะแจ้ง
ไปๆ มาๆ ก็ได้แต่ฟุตเวิร์กรอระฆังหมดยก
ไม่เคยจะลงมือจริงๆ จังๆ กับผู้ชุมนุม
คงเพราะบวกลบคูณหารแล้ว เห็นว่าขืนรุนแรงกับม็อบ รัฐบาลอาจมีอายุสั้น จากเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย
บุคลิกดุเดือด แต่ใจไม่ถึง น่าจะเป็นข้อสรุปเกี่ยวกับตัวนายสมัคร
ต่างจากนายกรัฐมนตรีที่มาดนิ่ม พูดจาเพราะ อย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ไม่เคยแสดงอาการดุร้ายใดๆ ให้เห็น แต่ถึงเวลาชาร์จเลย
กลายเป็นครั้งที่ม็อบพันธมิตรฯเจอปฏิบัติการอันรุนแรงที่สุด นับแต่ชุมนุมมาหลายหนหลายปี
แม้แต่"พี่เมีย"ที่ปากก็ดุเดือดพอๆ กับนายสมัคร แต่ไม่เคยสั่งการให้ทำอะไรม็อบเช่นกัน
พลิกล็อกแรก มาจากบุคลิกนิ่มนวลของนายสมชาย
พลิกล็อกที่สอง มาจากการแสวงหาแนวทางเจรจาให้ผู้ชุมนุมสลายตัวเอง
ทั้งยกหูโทรศัพท์คุยกับแกนนำม็อบ และทั้งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี จัดคนไปจับเข่าเจรจาถึงในทำเนียบฯ
ถ้าพูดกันตามตรง การนองเลือดมันหลีกเลี่ยงยากตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว
เพราะการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯนั้น ยกระดับข้อเรียกร้องขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงระดับที่สูงมาก
ขณะที่ฝ่ายอำนาจรัฐก็จำเป็นต้องรักษาขื่อแปของบ้านเมือง
ความคิดของประชาชนก็แตกเป็น 2 ฝ่าย และต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัว
เทียบกับเมื่อครั้งเหตุการณ์"พฤษภาทมิฬ"ไม่ได้ หนนั้นอารมณ์ร่วมของคนทั้งประเทศ
รสช.มือเปื้อนเลือด หมดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง!
เป็นอารมณ์ร่วมของผู้คน ไม่ว่าจะคนที่วิ่งหนีห่ากระสุนกระเจิงบนถนนราชดำเนิน
หรือคนที่ส่งแฟ็กซ์บอกข่าวต่อๆ กันอยู่ในออฟฟิศ
หมากของพันธมิตรฯ จึงออกแนว"ระเบิดพลีชีพ"กลายๆ
แกนนำต้องรู้อยู่แล้วว่าจะมีวันที่ผู้ชุมนุมต้องเลือดตกยางออกอย่างนี้ อย่าปฏิเสธ!
ในเมื่อข้อเรียกร้องไม่สุกงอม ก็ต้องเร่งความสุกงอมของสถานการณ์
ยึดทำเนียบฯก็แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องตามยึดรัฐสภาอีกที่
ขณะที่นายสมชายมาดนิ่ม ก็แสดงธาตุแท้ความเป็นคนเด็ดขาดออกมา
ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ตามที อย่างหนึ่งที่ต้องนับถือนายกฯคนนี้
สู้กันตรงๆ ไม่ใช้ม็อบชนม็อบอันน่ารังเกียจ!