รัสเซียเตือนนักท่องเที่ยวในไทยออกห่างพื้นที่ชุมนุม

อย่างไรก็ตาม สถานทูตรัสเซียยังมองว่า สถานการณ์ภายในกรุงเทพฯ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปรากฏในภาพข่าว

ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศยังคงเกาะติดสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ไทม์ส กับ CNN ส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่รายงานสถานการณ์ในไทย

เว็บไซท์ไทม์ส ออนไลน์ รายงานสถานการณ์ในประเทศไทยว่า มีทหารลาดตระเวณอยู่ตามถนนหลายสายในกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากมีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคนจากการที่ตำรวจพยายามป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าไปยึดอาคารรัฐสภา รายงานระบุด้วยว่า มีผู้ประท้วง 2 คน ที่ต้องสูญเสียขา และตำรวจ 8 นายได้รับจากการถูกยิงและถูกแทง จากการเผชิญหน้าล่าสุดในรอบหลายเดือนของการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล

ไทม์ส รายงานอ้างการคำกล่าวของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกว่า ตำรวจได้ขอความช่วยเหลือจากกองทัพ แต่ปฏิเสธข่าวลือที่ว่าจะมีการปฏิวัติรอบใหม่ และไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก ทหารจะไม่ปฏิวัติเพราะไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ

รายงานระบุเรื่องที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายฝูงชนประมาณ 8 พันคน เพื่อเปิดทางให้กับนักการเมืองที่ติดอยู่ในสภา ตอนแรกผู้ชุมนุมพยายามขัดขวางไม่ให้นักการเมืองเข้าไปในสภาฯ แต่หลังจากล้มเหลว ก็หันไปใช้กลยุทธ์ขัดขวางไม่ให้พวกเขาออกมานอกสภาฯ เหตุการณ์ความวุ่นวายทำให้มีผู้บาดเจ็บ 380 คน จากแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ภาพจากโทรทัศน์ได้แสดงให้เห็นผู้ชุมนุมคนหนึ่งสูญเสียขาไปหนึ่งข้าง

ผู้สื่อข่าว ระบุว่า เห็นผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรอย่างน้อย 3 คน ถือปืน และตำรวจที่อยู่ในสภาฯ 2 นาย ถูกยิง

ส่วนสำนักข่าว CNN ซึ่งส่งผู้สื่อข่าวไปลงพื้นที่เอง รายงานเรื่องผู้เสียชีวิต 2 คน และอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรามาธิบดีว่า มีเด็กสาวคนหนึ่งเสียชีวิตเพราะได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่หน้าอกในเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมปะทะกับพันธมิตร

ส่วนอีกคนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุระเบิดรถยนต์ในบริเวณใกล้เคียง ตัวเลขผู้บาดเจ็บของ CNN อยู่ที่กว่า 420 คน

CNN ระบุด้วยว่า ทางการต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ เข้าไปรับนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปยังที่ปลอดภัย เพราะผู้ชุมนุมตั้งเครื่องกีดขวางทางเข้าออก

เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ ระบุว่าคาดว่าตัวเลขผู้บาดเจ็บจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเหตุรุนแรงครั้งนี้ นำไปสู่การลาออกของพลเอกชวลิตยงใจยุทธ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำการเจรจากับพันธมิตรฯ โดยระบุในจดหมายลาออกว่า เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่สถานการณ์กลายเป็นความรุนแรง