เดลินิวส์
อัยการสูงสูด ตีกลับสำนวนยุบ ทรท.พร้อมขีดเส้น พี่หนาชี้มูลความผิดภายในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ เตือนดึงเวลาระวังเจออีกคดี ด้าน วีระชัย อ้าง กกต. ทำตาม ก.ม. พรรคการเมืองแล้ว ยัน "อัยการสูงสุด" ส่งเรื่องกลับเมื่อใดทางนายทะเบียนจะตั้งทำงานร่วมทำสำนวนใหม่ "ศาลอาญา" ยกฟ้อง "กกต." คดีจัดเลือกตั้งเอื้ออาทร "ทรท." คำพิพากษาระบุโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง หลักฐานไม่ชัดเจน แต่ "กกต.รุ่นพี่หนา" ต้องรับผิดชอบหลังเลือกตั้งโมฆะ ด้านทนายโจทก์ลั่นใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์เอาผิด กกต.สีเทาได้แน่ ขณะที่ "ศาลปกครอง" ไม่รับคดีเด็ก กกต. ฟ้องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ส่วน "เฮียเพ้ง" โผล่ยันไม่ทิ้งเก้าอี้ เชื่อข่าวปล่อยทำลาย ทรท. ฝ่ายรองโฆษกพูดไปอีกทาง ชี้อาจมีบิ๊กไขก๊อกแก้เกมยุบพรรค "วิษณุ"ยังแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนเดิม ด้าน "ปชป." เผย ทรท. ตัดตอนหาแพะรับบาปไม่เป็นผล ส่วน "ปลาไหล" จัดระดมทุนตั้งเป้าขอแค่ 50 ล้าน ขณะที่ "แม้ว" บินไปประชุมสุดยอดผู้นำที่คาซัคสถาน
อัยการตีกลับสำนวนยุบทรท.
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบคำร้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประ ธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการตามความในมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคไทยรักไทยว่า คณะกรรมการตรวจสอบที่มีนายชัยเกษม นิติสิริ รองอัยการสูงสุดเป็นประธาน ได้พิจารณาหนังสือของ พล.ต.อ.วาสนา และข้อกฎหมายแล้วมีความเห็นตรงกันว่า พล.ต.อ. วาสนา ต้องชี้มูลความผิดของพรรคการเมืองตามอำนาจในรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และ 145 (3) และมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง
โฆษกอัยการสูงสุด กล่าวว่า ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงมีมติเสนอเรื่องให้นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด ส่งหนังสือกลับไปยัง กกต. ให้ดำเนินการจัดทำหนังสือพร้อมสำนวนพยานหลักฐานและชี้มูลว่าพรรคไทยรักไทยทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 66 อนุมาตราใดอย่างไร แล้วส่งเรื่องมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาอีกครั้งเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 64 ของกฎหมายพรรคการเมืองต่อไป
ขีดเส้น"พี่หนา"ชี้มูล27มิ.ย.นี้
นายอรรถพล ย้ำว่า มติดังกล่าวไม่ใช่กรณีอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วไม่ดำเนินการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญจากนั้นจึงส่งเรื่องกลับ ไปให้ กกต. ตามมาตรา 67 วรรคหนึ่งเพื่อให้นายทะเบียนตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างนายทะเบียนและอัยการสูงสุดมาพิจารณาแต่อย่างใด ทั้งนี้อัยการสูงสุดจะส่งหนังสือและความเห็นของ อัยการดังกล่าวแจ้งให้ พล.ต.อ.วาสนา ทราบในวันที่ 19 มิ.ย. นี้ พร้อมกันนี้ได้กำหนดให้นายทะเบียนส่งหนังสือพร้อมสำนวนชี้มูลความผิดให้ครบถ้วนตามบทบัญญัติของกฎหมายกลับมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาภายในวันที่ 27 มิ.ย. นี้
"หนังสือเดิมระบุเพียงว่าส่งหลักฐานดำเนินการตามมาตรา 67 แต่ไม่มีส่วนใดที่เป็นการแจ้งความผิดเหมือนคดียุบ 3 พรรคเล็ก ซึ่งหากให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลแย้งว่ายังไม่ได้ดำเนินการตามมาตรา 67 เท่านี้เรื่องจบเลย ถ้า กกต. ไม่ถือทิฐิยอมทำหนังสือกลับมาใหม่เรื่องก็จบด้วยดี" โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุและว่า หาก กกต. ดำเนินการล่าช้าก่อให้เกิดความเสียหาย กกต. ก็จะต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน แต่หากส่งเรื่องกลับมาเร็ว อัยการสูงสุดจะสามารถตอบได้ในสัปดาห์หน้าว่าจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
"วีระชัย"งัดก.ม.มองต่างมุม
ด้านนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต. กล่าวว่า หากอัยการส่งเรื่องกลับมา กกต. ก็จะใช้อำนาจตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 67 ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมืองและอัยการสูงสุดเพื่อหาข้อยุติ และคิดว่า พล.ต.อ.วาสนา น่าจะคิดไว้แล้วว่าจะส่งใครเป็นตัวแทน และเมื่อคณะทำงานพิจารณาเสร็จก็มีอำนาจส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการได้ทันที แต่ถ้าคณะทำงานไม่อาจหาข้อยุติร่วมกันได้ตรงนั้นถึงจะเป็นหน้าที่ของนายทะเบียน หากเห็นว่าการกระทำของพรรคไทยรักไทยมีมูลก็ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ยืนยันว่า กกต. ไม่ได้ซื้อเวลาเพื่อใคร เพราะ กกต. มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น
กกต.ผู้นี้ กล่าวว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมนักกฎหมายรวมถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และนายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด มองว่า กกต. ต้องชี้มูลความผิดก่อน ทั้ง ๆ ที่ กกต. กฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 67 เขียนไว้ว่าเมื่อปรากฏหลักฐานว่ามีการกระทำที่อาจเข้าข่ายยุบพรรคก็ให้เสนอเรื่องไปยังอัยการ ไม่ได้เขียนเลยว่า กกต. ต้องชี้มูลไปก่อน ส่วนการเสนอยุบ 2 พรรคการเมืองก่อนหน้านี้ที่มีการชี้มูลก็เป็นความผิดคนละมาตรากัน
ศาลอาญายกฟ้องคดี "กกต."
วันเดียวกัน ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต. และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ในคดีที่ นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ รักษาการ ส.ว.อุบลราชธานี และพวกรวม 9 คน ยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต กรณีกำหนดวันเลือกตั้งและจัดเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 และ 23 เม.ย. โดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. พ.ศ. 2541 และพ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2541
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์ทั้งเก้าไม่ได้เป็นผู้เสียหายตามมาตรา 114 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งฯ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้ดำเนินคดีอาญาจำเลยทั้งสี่ได้ ส่วนประเด็นที่จำเลยกำหนดวันเลือกตั้งเอื้อแก่พรรคไทยรักไทยนั้น เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่การกำหนดวันเลือกตั้งของ กกต. กรณียุบสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้โดยตรง ดังนั้นจึงยังไม่เพียงพอที่จะฟ้องว่าจำเลยกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่
ชี้หลักฐานเอื้อทรท.ไม่ชัดเจน
ส่วนการปิดประกาศรูปและภาพถ่าย ผู้สมัครในคูหานั้น แม้กรณีจะมีข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องและเบิกความ แต่จำเลยมีคำสั่งให้ปิดรายชื่อและรูปผู้สมัครทุกคน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่อาจส่อให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าเป็นการโฆษณาหาเสียงในคูหาเลือกตั้ง ส่วนการหันคูหา โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาแสดงยืนยันให้เห็นว่ามีผู้ใช้สิทธิคนใดถูกขู่เข็ญหรือได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้สมัครและพรรคการเมืองใดเป็นการเฉพาะ
ประการสุดท้ายที่ฟ้องว่า จำเลยมีคำสั่งให้รับผู้สมัครรายเดิมในการเลือกตั้งวันที่ 23 เม.ย. ในลักษณะเวียนเทียน โจทก์ไม่ได้นำสืบแสดงให้ เห็นว่าโจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในเขตเลือกตั้งที่จำเลยมีมติให้รับสมัครในลักษณะเวียนเทียนแต่อย่างใด ดังนั้นถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง รวมทั้งการที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 แต่ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ทั้งเก้าจะเป็นผู้เสียหายคดีอาญาอันเกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสี่
ย้ำต้องมีสปิริต แม้ไม่ผิด ก.ม.
"แม้โจทก์ทั้งเก้าจะบรรยายฟ้องและนำสืบพฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่ไม่เที่ยงธรรม จนถึงขนาดที่ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองกลางวินิจฉัยให้เพิกถอนการเลือกตั้ง ส.ส. แล้ว ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความยอมรับของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ต่อไป ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่ต้องแสดงความรับผิดชอบให้สังคมเห็นเอง พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งเก้าในคดีนี้ยังไม่อาจชี้ให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดอาญา คดีโจทก์ทั้งเก้าไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง" คำพิพากษาระบุในตอนท้าย
ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ทนายความ กล่าวว่า โจทก์จะยื่นอุทธรณ์คดีอย่างแน่นอน โดยยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยในประเด็นต่าง ๆ และในการอุทธรณ์จะยกตัวอย่างของผู้ใช้สิทธิซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยตรงในเขตเลือกตั้งที่มีการส่งผู้สมัครเวียนเทียนนำเสนอให้ศาลเห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีภูมิลำเนาในเขตเลือกตั้งนั้นก็ตาม แต่ กกต. ย่อมต้องรับผิดชอบด้วย
ศาลปค.ไม่รับฟ้องเด็ก "กกต."
วันเดียวกัน ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีที่นายพีระพงษ์ ไพรินทร์ รองผอ. สำนักนโยบายและแผน สำนักงาน กกต. ฟ้องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากรณีไม่สรรหาผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. ต่อที่ประชุมวุฒิสภา อันเป็นเหตุให้นายพีระพงษ์ เสียสิทธิในการสมัครเป็น กกต. และขอให้ศาลมีคำสั่งให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดำเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. ต่อไป
ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การดำเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. นั้นเป็นอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 138 และ 143 ซึ่งเป็นหน้าที่เฉพาะของศาลฎีกา และมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในกรณีดังกล่าวไม่ใช่การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครอง ดังนั้นจึงไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลปกครอง ที่จะพิจารณา จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลปกครอง