3ผู้อาวุโส ระพี-ไพบูลย์-เสน่ห์แนะผ่าทางตันวิกฤติการเมืองไทย เลี่ยงสงครามกลางเมือง

" ... พอใครพูดอะไรมา ก็มักถูกมองว่าไม่เป็นกลาง จริงๆ แล้วหากยึดหลักธรรมชาติแล้ว แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง จริงๆ แล้วที่พูดกันว่า ให้มีคนกลางมาเจรจานั้น ไม่จำเป็นเลย ถ้าละกิเลสกันได้ และเปิดใจเข้าหากัน แต่ไม่ทำกัน ... ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่มีคนกลางหรือไม่ เพราะตอนนี้ ด้านหนึ่งมันเอียง ถ้ากลับคืนได้ ก็ไม่ต้องมีคนกลาง การปฏิบัติให้หายเอียงคือ ต้องยึดหลักธรรมเป็นตัวตั้ง อย่ายึดว่า ตัวกูของกู ..."

ระพี สาคริก   ราษฎรอาวุโส

ขณะนี้บ้านเมืองต้องการความเป็นเหตุเป็นผลมาก เหตุอยู่ในใจคน ส่วนผลคือสิ่งที่ได้รับหรือเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ดังนั้น ควรเปิดใจกันให้ว่างพร้อมรับฟังปัญหา และอย่าดื้อดึงซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะต้องยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของส่วนรวม จึงต้องละกิเลสถึงจะพูดกันได้ อย่าคิดแบบทางเดียว ต้องคิด 2 ทางคือต้องคำนึงถึงอกเขาอกเรา อย่าทำรุนแรงใส่กัน
 
สำหรับแนวทางออกนั้น อย่างแรกคืออย่าคิดว่าคนที่ออกมาพูดจะเข้าข้างใดข้างหนึ่ง

แต่อยากตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่า ฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ มีกฎหมาย มีกำลังพลอยู่ในมือ แต่อีกฝ่ายหนึ่งมาโดยธรรมชาติ ทำให้น้ำหนักของทั้ง 2 ฝ่ายไม่เท่ากัน เมื่อขาดความสมดุลเช่นนี้
พอใครพูดอะไรมาก็มักถูกมองว่าไม่เป็นกลาง จริงๆ แล้วหากยึดหลักธรรมชาติแล้วจะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง จริงๆ แล้วที่พูดกันว่าให้มีคนกลางมาเจรจานั้น ไม่จำเป็นเลย ถ้าละกิเลสกันได้ และเปิดใจเข้าหากัน แต่ไม่ทำกันจึงต้องหาคนกลาง แต่หากยังเป็นอย่างนี้ถึงมีคนกลางก็ไม่สำเร็จ ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่มีคนกลางหรือไม่ เพราะตอนนี้ด้านหนึ่งมันเอียง ถ้ากลับคืนได้ก็ไม่ต้องมีคนกลาง การปฏิบัติให้หายเอียงคือ ต้องยึดหลักธรรมเป็นตัวตั้ง อย่ายึดว่าตัวกูของกู

สถานการณ์ขณะนี้แตกต่างจากวิกฤตการณ์ในอดีต เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา หรือ พฤษภาทมิฬ อย่างไร

แตกต่างกันมาก เพราะในอดีตผู้นำเขายอมถอย แต่ขณะนี้ไม่มีการถอยเลย แถมไม่ยอมฟังใคร ผมพูดอะไรไปก็หาว่าเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าจิตใจคนมันไม่เป็นกลางแล้ว ก็มักมองคนอื่นไม่เป็นกลางเสมอไป จริงๆ แล้วการมีกฎหมาย หรือมีอำนาจ ถ้าไม่ยึดว่าเป็นเรื่องสำคัญ และให้คิดว่าเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นหรือเป็นสิ่งที่สร้างกันขึ้นมาซึ่งไม่สำคัญเท่ากับจิตใจ ก็จะละวางข้ออ้างต่างๆ นี้ได้ ถ้าเรากล้าหาญ กล้าเอาชนะใจตนเอง คนที่เคยตำหนิก็จะหันมานับถือ

การเผชิญหน้ากันในขณะนี้หลายคนเป็นห่วงว่ากลายเป็นสงครามกลางเมือง ประชาชนฆ่ากันเอง

ผมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะหากรัฐบาลซึ่งยืนอยู่ในจุดที่มีทั้งอำนาจ อาวุธ และกำลังพล แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มี ซึ่งถ้าไปทำให้เขาเกิดความคับแค้น อาจส่งผลให้เป็นสงครามกลางเมืองหรือการรบแบบกองโจรก็ได้ ถ้าเราไม่รีบแก้ไข แม้แต่ชีวิตคนคนเดียวที่เสียไปก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มาก และผู้บริหารประเทศต้องแสดงความรับผิดชอบ เรามีตัวอย่างอยู่แล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

บางที...ถ้ายอมทิ้งอำนาจกันเสียบ้างก็อาจมีคนนับถือ ขึ้นอยู่กับว่าอยากให้คนนับถือหรืออยากให้คนว่าตามหลัง
-------------------------------------

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
อดีตรองนายกรัฐมนตรี


พอจะเห็นทางออกของประเทศในยามนี้หรือไม่

จริงๆ แล้วการดูแลและจัดการบริหารประเทศเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร จะดีหรือไม่ดีก็ตาม รัฐบาลต้องจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ขณะที่ในส่วนของประชาชนควรเข้ามามีส่วนร่วม แต่ปัญหาคือตอนนี้ประชาชนถูกแยกเป็นกลุ่มๆ จึงเข้าไปจัดการลำบาก แต่รัฐบาลยังเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ ดังนั้น หลายฝ่ายจึงเห็นตรงกันว่า หากต้องการให้ความขัดแย้งคลี่คลายควรใช้สันติวิธี แต่ในทางปฏิบัติมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมาก

เราต้องหาคนกลางซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และไม่ใช่การตั้งโต๊ะนั่งเจรจากันเลย เพราะต้องผ่านหลายขั้นตอนและค่อยๆ ไป หาจุดเริ่มต้นให้ได้ก่อน อาจไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก แม้ไม่สำเร็จก็ต้องพยายามต่อไป เพื่อหาวิธีให้คู่ปรปักษ์ได้คุยกันซึ่งเป็นเรื่องยาก
 
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้คือทั้ง 2 ฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน

ต้องทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายตระหนักว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก ควรหาทางพูดจากัน แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่อยากพูด พันธมิตรก็ไม่อยากพูด ยังดีที่มีคนอื่นเห็นว่าควรมีการพูดจากัน พูดทีละฝ่ายก็ได้แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปซึ่งตรงนี้เป็นศิลปะ การที่เสนอให้ประธานวุฒิสภาเข้ามาทำหน้าที่นี้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องทำกันหลายขั้นตอน เรื่องนี้คล้ายกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคู่ปฏิปักษ์คือรัฐและฝ่ายต่อต้าน เพียงแต่ภาคใต้ยากกว่าเพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร และทั้งคู่ต่างใช้ความรุนแรงกันแล้ว จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งควรพูดคุยกับใคร แต่ที่นี่รู้แล้วว่าเป็นกลุ่มพันธมิตร

จริงๆ แล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเหมือนกัน คือประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์บ้านเมืองมากขึ้น แม้แต่เรื่องการใช้ความรุนแรงก็มีการออกมาต่อต้านกันมาก

 
พูดกันว่าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะนี้อาจกลายเป็นสงครามกลางเมือง

ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะการเกิดแผ่นดินไหวทุกครั้งมาจากการสะสมแรงกดดันทีละน้อย ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนทิศทางการสะสมจากแรงกดดันมาสู่การผ่อนคลาย โดยเชื่อมต่อและพูดคุยกัน ยิ่งถ้ารัฐคิดอยากทำเรื่องสันติวิธีจะง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่ารัฐคิดเรื่องนี้หรือไม่ จริงๆ แล้วเคยมีคำสั่งของนายกรัฐมนตรี 187/2546 พูดถึงแนวทางและวิธีการสันติวิธีไว้แล้ว ดังนั้น หากริเริ่มโดยรัฐ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นโดยมีปัจจัย 3 ประการ คือ 1.การสร้างกระบวนการและวิธีจัดการ 2.ทัศนคติในการสร้างบรรยากาศ และ 3.เรื่องสาระ
หากทั้ง 2 ข้อแรกไม่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเกิดสาระที่ดีได้
-----------------


เสน่ห์ จามริก
ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ


การเมืองมันมาถึงทางตันแล้ว ผมมองว่าเป็นความล้มเหลวของระบอบรัฐสภา

ซึ่งแบ่งอำนาจกันในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งการบริหารปกครองประเทศผ่านความเห็นชอบของสภา เช่น หากมีโครงการใดโครงการหนึ่งเกิดขึ้นก็ต้องผ่านความเห็นชอบของชุมชน แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามนั้น สภาก็มีหน้าที่ซักฟอก หรือถ้าเป็นเรื่องผิดก็ต้องแก้ไข ซึ่งในที่สุดอาจถึงขั้นที่รัฐบาลลาออก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 
แต่ขณะนี้กลายเป็นว่าการเลือกตั้งเพื่อให้ฝ่ายบริหารเข้าไปทำผิดกฎหมาย ยิ่งยุคนี้สภานิติบัญญัติไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ทำให้กลายเป็นเผด็จการ

มีแต่ฝ่ายตุลาการ ที่พูดกันถึงตุลาการภิวัตน์ซึ่งล่อแหลมมาก เพราะตอนนี้เริ่มถูกโจมตี ทั้งหมดเกิดจากความล้มเหลวของสภา จนทำให้ประชาชนต้องออกมาต่อต้าน กลายเป็นวัฐจักร ซึ่งสังคมไทยต้องเข้าใจ
ผมถามว่าแล้วใครจะกล้าล้มกระดานแล้วเริ่มกันใหม่ และคนที่เข้ามาทำเช่นนี้เชื่อใจได้หรือไม่ว่าเขาจะเดินหน้าจริง ใครจะยุติตรงนี้ได้ ผมถึงไม่ค่อยอยากออกความเห็น เพราะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเข้าข้างนั้นบ้าง เข้าข้างนี้บ้าง จริงๆ แล้วผมอยากให้องค์กรด้านสื่อเป็นผู้เสนอทางออกมากกว่า เพราะน่าเชื่อถือมากกว่านักวิชาการเสียอีก สื่อเองก็เป็นประชาชน น่าจะทำหน้าที่ระดมสมองได้ เพราะสื่อมีอิทธิพลมากต่อความคิดของประชาชน สื่อควรเริ่มจากการรวมตัวกันหาทางให้สังคมได้ถกเถียงกันเรื่องความชอบธรรมของระบอบสภาทั้งหมด

สำหรับวิธีการระดมสมองทำได้เมื่อประเทศมาถึงจุดจุดหนึ่งที่เป็นทางตันแล้ว เราต้องมาช่วยกันคิด ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ผมไม่เคยเห็นยุคใดที่มาถึงทางตันเช่นนี้มาก่อน เพราะขณะนี้แทบไม่มีทางออก ไม่ว่าใครเสนออะไรไปช่วงนี้ก็แทบไม่มีประโยชน์ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็จะคิดถึงเรื่องการแพ้-ชนะอยู่ตลอดเวลา

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์