คดี ชิมไปบ่นไป ศาลรธน.ไต่สวนบ.ง่วนสูน ปัดไม่รู้จักสมัคร แต่ยอมจ่ายค่าสปอนเซอร์ 1.4แสน

ศาล รธน.ไต่สวนคดี "ชิมไปบ่นไป" เจ้าของ "บ.ง่วนสูน" ปัดไม่รู้จัก" สมัคร" เป็นการส่วนตัว แต่ยอมรับจ่ายค่าสปอนเซอร์ให้ 1.4 แสนบาท นัดสอบพยานอีก 2 ปาก 8 ก.ย. หากไม่มาถือไม่ติดใจชี้แจง กกต.เตรียมลงมติ "ปู่ชัย" ถือหุ้นในบ.สัมปทานรัฐ 9 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนพยานกรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ ส.ว.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยการเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2550 กรณีจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" และ "ยกโขยงหกโมงเช้า" หรือไม่ เป็นนัดที่ 3 ซึ่งมีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และผู้แทนจาก กกต.ในฐานะฝ่ายผู้ร้อง นายธนา เบญจาธิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายสมัคร ในฐานะผู้ถูกร้อง และนายวิศิษฏ์ ลิ้มประนะ เจ้าของบริษัทง่วนสูน (1974) เยาวราช จำกัด ผู้สนับสนุนรายการ "ชิมไปบ่นไป" ในฐานะพยานมาเบิกความ
 
ทั้งนี้ นายวิศิษฏ์เบิกความถึงความความสัมพันธ์กับนายสมัครว่า ไม่ได้รู้จักนายสมัครเป็นการส่วนตัว ที่เข้ามาสนับสนุน 2 รายการ ก็เพราะบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ได้ติดต่อมา และตนได้พิจารณาช่วงเวลาการออกอากาศและเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงตกลงเซ็นสัญญา โดยให้การสนับสนุนรายการด้วยการเหมาจ่ายรายเดือน โดยสนับสนุนรายการ "ชิมไปบ่นไป" ทางช่อง 5 เป็นจำนวนเงิน 90,000 บาท ส่วนรายการ ยกโขยงหกโมงเช้าŽ ทางช่อง 3 ได้สนับสนุนเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ทั้งนี้ หลักของการจ่ายเงินสนับสนุนก็คือจะดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ และไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นใครที่รับหน้าที่เป็นพิธีกร ส่วนที่เคยถูกเชิญไปออกรายการกับนายสมัครก็เป็นเพียงบันทึกเทป ยืนยันว่าไม่เคยพบกับนายสมัครเป็นการส่วนตัว แต่เคยพบนายสมัครเพียงไม่กี่ครั้งตามงานของรัฐบาลที่เป็นเจ้าภาพเท่านั้น
 
" บริษัทของผมเป็นกิจการในครอบครัวที่ทำมาช้านาน แต่ได้มีการเปลี่ยนเป็นชื่อร้านง่วงสูน (1974) เยาวราช จำกัด จำหน่ายเพียงเครื่องเทศทุกชนิด ส่วนที่นายสมัครเคยพูดในรายการว่าเป็นมือที่ 1 ไม่ใช่มือที่ 3 ที่มีการมองว่าอาจจะเป็นการโฆษณาให้บริษัทผมนั้น เห็นว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ชอบพูด และเป็นการหยอกล้อมากกว่า" นายวิศิษฏ์กล่าว
 
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนพยานเพิ่มเติมอีก 2 ปาก ในวันที่ 8 กันยายน เวลา 09.30 น. ซึ่งประกอบด้วยรายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด และนายสมัคร ทั้งนี้ หากบุคคลทั้ง 2 ไม่มาตามนัดศาลจะถือว่าไม่ติดใจชี้แจง

ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติรับเรื่องร้องเรียน กรณีที่มีผู้มายื่นคำร้องขอให้ถอดถอนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จากการที่ไม่ยกเลิกพาสปอร์ตทางการทูต หรือพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย ป.ป.ช.จะให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อเท็จจริงและดูขอบข่ายอำนาจว่า ป.ป.ช.สามารถรับเรื่องนี้ไว้ไต่สวนได้หรือไม่
 
นายวิชากล่าวว่า ที่ประชุมยังมีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากกรณีที่นางสารี อ่องสมหวัง ประธานเครือข่ายเพื่อผู้บริโภครวบรวมรายชื่อประชาชน 20,000 รายชื่อ ยื่นถอดถอนนายไชยา สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผ่านทางประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 271 จากกรณีการกล่าวหาว่าบริหารงานภายในกระทรวงโดยไม่โปร่งใส ทั้งการออกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการโดยมิชอบ และการประกาศทบทวนการประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือซีแอล โดยให้นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ถึงแม้นายไชยาจะออกจากตำแหน่งเดิมแล้ว แต่กรณีนี้ก็เหมือนกับการยื่นถอดนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่หากพบว่ามีความผิด ก็ยังมีโทษของการตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีอยู่
 
กกต.เตรียมลงมติ "ปู่ชัย" ถือหุ้นในบ.สัมปทานรัฐ 9 ก.ย.นี้
 
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถูกร้องว่าอาจกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 (2) เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ ซึ่งอาจทำให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงตามมาตรา 106 (6) ว่า นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ได้ส่งสำนวนให้แก่กกต.แล้ว และได้นัดให้มีการลงมติในวันที่ 9 กันยายน ซึ่งน่าจะลงมติได้คงไม่มีปัญหา ส่วนกรณี ส.ส.และส.ว.ถูกร้องว่าถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ ขณะนี้ยังอยู่ในการพิจารณาของอนุกรรมการสืบสวน เพราะต้องใช้เวลาในตรวจสอบส.ส.และส.ว.จำนวนมาก ซึ่งจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ