เตช-ฮอ นัม ฮง ถกร่วมเชื่อสถานการณ์ดีขึ้น

โรงแรมบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิร์ล นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 เกี่ยวกับปัญหาในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 

เป็นการประชุมต่อเนื่องจากการประชุมที่จ.เสียมเรียบ ของกัมพูชา โดยมีการหารือนอกรอบในช่วงรับประทานอาหารเย็นวันที่ 18 สิงหาคมนี้  เมื่อถามว่าจะหยิบกรณีปราสาทตาเมือนธมขึ้นมาหารือด้วยหรือไม่ นายเตชกล่าวว่า ไม่น่าจะมี เพราะครั้งนี้เป็นการหารือกรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อถามต่อว่าคิดว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นหรือไม่ หลังจากนายกฯและผบ.ทบ.ลงตรวจพื้นที่ นายเตชกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ก็น่าจะดีขึ้น

ต่อมานายเตชเดินทางถึงโรงแรมดุสิต รีสอร์ท หัวหิน ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุม ตามด้วยนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งเดินทางโดยรถยนต์ตรงมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ

โดยมีนายวีรพันธุ์ วัชราทิตย์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ คอยให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ในส่วนของคณะผู้แทนไทยมีการประชุมหารือเป็นการภายในหลังนายเตชเดินทางมาถึง เพื่อเตรียมความพร้อมและซักซ้อมประเด็นก่อนที่การรับประทานอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายฮอร์ นัม ฮง ที่ห้องเบญจรงค์ จะเริ่มขึ้นในเวลา 19.00 น. วันเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทางการไทยได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยรักษาความปลอดภัยสถานที่ประชุมอย่างเข้มงวดกว่า 200 นาย

พร้อมกับกันพื้นที่ไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้บริเวณที่ประชุม เว้นแต่จะมีเจ้าหน้าที่พาไปเก็บภาพบรรยากาศต่างๆ เท่านั้น ทางด้านเอพีและเอเอฟพี รายงานว่า นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางมายังไทยว่า ตนคาดหวังในทางที่ดีว่าการเจรจาครั้งใหม่นี้จะประสบความสำเร็จในทางที่ดีและนำไปสู่ทางแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาที่ยืนยาวถาวรต่อไป ทั้งนี้ในการประชุมวันที่ 18 และ19 สิงหาคมจะหารือกันเพื่อหาทางถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทและพื้นที่โดยรอบปราสาท เพื่อยุติปัญหาและเปิดทางให้มีการกำจัดทุ่นระเบิด กับให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างกันต่อไป

รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาย้ำว่า กัมพูชาปรารถนาที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งกับไทยโดยสันติฉันท์มิตรและด้วยวิถีทางตามกฎหมาย

เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีผลประโยชน์ด้านการค้าและเศรษฐกิจร่วมกันมหาศาล นอกเหนือจากนั้น ตัวแทนของรัฐบาลกัมพูชาระบุด้วยว่า ได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งนี้ด้วย