สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ "รัฐมนตรีแชร์บอมบ์" สัมภาษณ์พิเศษ โดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ -สุเมธ ทองพันธุ์
"...ผมมีอุเบกขา และสรุปได้ว่าทั้งหมดนี้มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของผม ถ้าคิดได้อย่างนี้ ต่อให้เขามายืนด่าแม่เรา ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องของเขา มันก็จบ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเราเมื่อไร ก็ต่อยปากมันเมื่อนั้นแหล่ะ..."
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการปรับ ครม. "สมัคร 4" แรงและลึกกว่าที่คิด
โดยเฉพาะการปรากฏชื่อ "ตัวสำรองอันดับ 3 " ในโควต้ากลุ่มอีสานพัฒนาอย่าง "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" เป็น รมว.วัฒนธรรม จนนำมาสู่วาทะ "หักหลังเพื่อน"
ตามด้วยปรากฏการณ์ "ลากไส้" กันเองของคนการเมืองในพรรคพลังประชาชน (พปช.) ที่ยืดเยื้อมากว่าสัปดาห์และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ โดยกลุ่ม "อีสานอกหัก" ได้เดินเกมแฉเรื่องฉาวของ "คนใกล้ชิดนายกฯ" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้บงการหลักในการจัดวางโผ ครม. ในฐานะสมาชิก "แก๊งออฟโฟร์" และยังลากเอา "ผู้มีบารมีในเงามืด" ที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ" ออกมายืนกลางแจ้ง ก่อนยัดข้อกล่าวหา "เนรคุณนายห้าง" ใส่
เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา "สมศักดิ์" ได้เปิดห้องทำงานเก่าในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรพูดคุยกับ "มติชน" เบื้องหลังการเข้ายึดครองเก้าอี้รัฐมนตรีซึ่งกลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดศึกในถูกสารภาพแบบฉากต่อฉาก-คำต่อคำ
มติกลุ่มอีสานพัฒนาเกี่ยวกับการเสนอชื่อรัฐมนตรีเป็นอย่างไร
กลุ่มอีสานพัฒนาไม่เคยมีมติกลุ่มที่จะให้ใครไปเป็นรัฐมนตรี ซึ่งในคราวที่มีการเลือกประธานและรองประธานสภาครั้งแรก (วันที่ 22 มกราคม) ผมในฐานะหัวหน้ากลุ่มอีสานพัฒนาได้รับการขอร้องจากผู้ใหญ่ให้มาช่วยงานที่สภาในฐานะรองประธานสภา ซึ่งผู้ใหญ่พูดชัดว่าถ้าไม่มาจะให้เป็นรัฐมนตรี ถ้ามาก็ขอบคุณ แต่ต้องไม่ฝืนใจนะ ผมเลยรับปากมาช่วยงานที่สภาก่อน เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคมากกว่า ก็เลยเสียสละมานั่งตรงนี้ ถ้าวันนั้นผมไม่มา ผมก็ได้เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
ส่วนการก่อเกิดกลุ่มอีสานพัฒนามาจากการที่ผมรวมกลุ่ม ส.ส.ขอนแก่น 5-6 คน และ ส.ส.ที่แตกออกจากเนวิน (ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน) บางส่วน ก็เลยกลายเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นมา ผมยืนยันว่าทางกลุ่มไม่เคยมีมติให้ใครเป็นรัฐมนตรี แต่ผมได้แสดงสปิริตในฐานะหัวหน้ากลุ่มอีสานพัฒนาให้ปรีชา (เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส. เลย) ได้คิวอันดับ 1 เจริญ (จรรย์โกมล ส.ส. ชัยภูมิ) ได้คิวอันดับ 2 ต้องย้ำว่าเป็นการแสดงสปิริตนะ ไม่ได้เป็นมติกลุ่มนะ คนละเรื่องนะ ถูกไหม คงไม่มีหัวหน้ากลุ่มแบบนี้ในโลกหรอก และผมก็ดำเนินการตามนั้นมาโดยตลอด... กระทั่งช่วงที่ผิดหวังจากตำแหน่งประธานสภาอีกครั้ง (วันที่ 12 พฤษภาคม นายชัย ชิดชอบ ได้รับเลือกเป็นประธานสภา) ผมได้ไปเรียนกับผู้ใหญ่ 3 ท่าน ไม่มีท่านที่ 4 นะ
เป็นแก๊งออฟทรี
เป็นผู้ใหญ่ 3 ท่านที่คิดว่ามีเพาเวอร์ (อำนาจ) ในการตั้งรัฐมนตรีเอาอย่างนั้นดีกว่า ผมไปบอกกับ 3 ท่านว่าภาระหน้าที่ผมหมดแล้ว ท่านยงยุทธ (ติยะไพรัช อดีตประธานสภา) ก็ไม่อยู่แล้ว ผมเองได้ทำหน้าที่อยู่ตรงนี้นานแล้ว อยากเปลี่ยนสายงานบ้าง อย่างนี้ไม่ผิดใช่ไหม ถือเป็นสิทธิของผมใช่ไหม ฮืม... หลังผิดหวังจากประธานสภามา แต่ไม่เคยบ่นแม้แต่แอะเดียว หลังจากนั้น ก็ยืดมาอีกหลายเดือนกว่าจะมีการปรับ ครม. ในวันที่ 31 กรกฎาคม ดังนั้น ถ้าจะมีการวิ่งเต้นเพื่อขอตำแหน่งรัฐมนตรี น่าจะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมทั้งเดือนใช่ไหม ผมขอพูดชัดๆ เลยว่าในเดือนกรกฎาคมทั้งเดือน อย่าว่าแต่เอาชื่อกลุ่มไปอ้าง หรือล็อบบี้กลุ่มเลย แค่ได้เอ่ยปากขอตำแหน่งจากผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ผมพร้อมลาออกจากตำแหน่ง รมว.เลย ดังนั้น การได้เป็นรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมไม่ได้อ้างกลุ่ม ไม่ได้ล็อบบี้ ไม่ได้เอ่ยปากขอ เขาตั้งเอง
สิ่งที่ผมเอ่ยปากในเดือนกรกฎาคม มีพยานในกลุ่มได้ยินไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ครั้งละหลายๆ คน รวมถึงปรีชากับเจริญด้วย ประโยคเดียวเท่านั้นที่ผมพูดก็คือ โควต้ากลุ่มเรา ปรีชาเบอร์ 1 เจริญเบอร์ 2 ส่วนผมแล้วแต่ท่านจะกรุณา นี่คือการทวงสิทธิของผมที่จะเปลี่ยนสายงาน โดยไม่ใช้โควต้ากลุ่ม ถ้าผมจะใช้โควต้ากลุ่ม มันต้องช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ผมอยู่แล้ว แต่ผมแสดงสปิริตไม่ใช้ ให้เพื่อน อันนี้ผมพูดชัด และเจ้าตัวก็ได้ยินหลายครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมพูดต่อหน้าเขาอย่างนี้ แล้วแอบไปพูดกับผู้ใหญ่ 2 ต่อ 2 ว่าขอผมเป็นนะ อย่างนั้นมันประจานตัวเองเกินไป ผมไม่ทำหรอก อายผู้ใหญ่เขา
ผู้ใหญ่ที่เป็นพยานให้ท่านได้คือใคร
เรื่องนี้ผมไม่ควรพูด แต่วันนี้ต้องการพูดเพื่อตอกย้ำให้คน 10 กว่าคนฟังอีกครั้งหนึ่ง จะได้เลิกวิ่งมั่วกันเสียที ก็คือเรื่องในวันเกิดท่านทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ผมพูดว่าเรื่องการตั้ง ครม.ในกลุ่มของพวกเรายังยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่ผมได้เรียนกับท่านไว้ว่าปรีชาเบอร์ 1 เจริญเบอร์ 2 ส่วนผมแล้วแต่ท่านจะกรุณา ถ้าไม่มีใครได้เป็นเลยสักคน ก็ไม่มีปัญหา เราไม่ขัดข้องอยู่แล้ว
ถ้าเช่นนั้นความสับสนจนนำไปสู่การสลับตัวเกิดขึ้นตอนไหน เพราะนายกฯสมัครเองก็เข้าใจว่าท่านเข้ามาในโควต้าหัวหน้ากลุ่มอีสานพัฒนา
ผมยังไม่ได้ถามท่าน ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านคิดอย่างไร ก็ผมไม่ได้ไปขอนี่ เขาตั้งผมแล้วจะให้ทำอย่างไร
รู้ตัวว่าจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล "สมัคร 4" เมื่อไหร่
ผมมารู้เอาวันที่ลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภา (วันที่ 29 กรกฎาคม) ตอน 6 โมงเย็น ผมโทร.ไปคุยกับเลขาฯโป๋ (นายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี) พอคุยกับเลขาฯโป๋เสร็จ ก็มีเสียงนายกฯหมักพูดต่อเลย แปลว่า นายกฯหมักดึงโทรศัพท์จากเลขาฯโป๋มาคุย ท่านบอกว่า คุณไปลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาเลย ให้มีผลวันนี้ด้วย ผมบอกว่า นี่มัน 6 โมงเย็นแล้วนะท่าน ไม่มีใครอยู่แล้ว ท่านบอกไม่เป็นไร โทร.หาเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (นายพิทูร พุ่มหิรัญ) เลย บอกให้ส่งเจ้าหน้าที่มารับเรื่องวันนี้เลย ผมก็รู้แค่นี้ ก็พูดได้แค่ว่าครับๆ ขอบคุณครับ และก็ดำเนินการลาออกในวันนั้น
ในระหว่างคุยโทรศัพท์ได้สอบถามเรื่องตำแหน่งเผื่อนายปรีชาหรือไม่
แม้แต่ตัวผมเองยังไม่ถามเลยว่าผมอยู่ตรงไหน โดยมารยาทผมไม่ควรถาม และไม่มีโอกาสได้ถามด้วย เพราะพูดกับเลขาฯโป๋ได้ 2-3 ประโยค ก็เปลี่ยนเป็นเสียงนายกฯหมักแล้ว ท่านก็แจ้งอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ตอนนั้นใครจะไปคิดอะไร
หลังวางสายจากนายกฯ ได้โทร.ไปถามนายปรีชาหรือไม่ว่าได้รับแจ้งข่าวดีเหมือนท่านหรือเปล่า
ก่อนหน้านั้นปรีชาโทร.หาผม บอกว่าพวกเราแฮปปี้ทุกคน ท่านเป็น รมว. ส่วนผมเป็น รมช.มหาดไทย ปรีชาเป็นคนโทร.มาบอกผมเอง ผมไม่มีข้อมูลเพราะไม่ได้ไปวิ่ง ไม่ได้ไปขอ ผมยังต้องเอาข้อมูลจากปรีชาด้วยซ้ำ และข้อมูลอีกสายที่ผมได้ก็คือข้อมูลจากนักข่าว ผมต้องถามนักข่าวว่าตกลงผมอยู่ตรงไหนกันแน่... ในวันเดียวกันตอนตี 1 ปรีชาโทร.มาหาผมรอบที่ 2 บอกว่า ท่าน มันเบี้ยวผม มันถีบผมออก
"มัน" ในที่นี้หมายถึงใคร
ผมไม่ได้ถาม แต่ข้อเท็จจริงทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้
แสดงว่าก่อนนายปรีชาจะนำทีมแถลงข่าว ก็เข้าใจดีว่าท่านไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เขากระเด็นหลุดออกจากโผ
ก็เขาพูดอย่างนี้ ผมถึงงงไงที่มาว่าผมหักหลังเพื่อน มันได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่ผม ผมรับไม่ได้ เรื่องความคิดเห็นมันต่างกันได้ แต่คุณธรรมต่างกันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมถึงต้องแยกกลุ่มออกมา
ถึงวันนี้ยังยืนยันในความเป็นแกนนำกลุ่มอีสานพัฒนาหรือไม่
ผมไม่ใช่แกนนำของกลุ่มอีสานพัฒนา ผมแยกตัวออกมาแล้ว โดยมีสมาชิกร่วมอุดมการณ์กัน 20 คน และยังมีอีก 2-3 คนอยู่ระหว่างการตัดสินใจ ดังนั้น กลุ่มของเราที่แยกออกมาจะมีไม่ต่ำกว่า 20 คน ส่วนของเขามีแค่ 7-8 คน ตรงนี้ชัดเจน ส่วนจะเรียกชื่อกลุ่มว่า "ขุนค้อน" หรืออะไรก็สุดแท้แต่
เหตุใดจึงมีชื่อปรากฏเป็นสมาชิกน้องใหม่ของกลุ่มเพื่อนเนวิน
อันนี้ต้องตำหนิเลยที่สื่อไปจัดผมเป็นสมาชิกคนที่ 81 ของกลุ่มเพื่อนเนวิน ทำไมไม่ถามผมก่อน ผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเนวินเลย ไม่เคยพูดจา ไม่เคยมีอะไรกันเลย ไม่เจอหน้ากันด้วย ก็ไม่รู้ว่าข่าวออกมาได้อย่างไร ความจริงผมไม่ได้เกลียดเนวินนะ แต่มันไม่มีข้อเท็จจริงเลยเรื่องนี้
ส.ส.อีสานหลายคนภูมิใจที่จะประกาศตัวเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวินเพราะรู้สึกเท่และมีบารมี เหตุใดท่านจึงไม่รู้สึกเช่นนั้น
ไม่เป็นไร ก็แล้วแต่ เราไม่ได้รังเกียจ แต่โดยข้อเท็จจริงเรารวมกลุ่มของเราอยู่ 20 กว่าคน
ได้ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่กลุ่มอีสานพัฒนากับกลุ่มเพื่อนเนวินใช้ต่อสู้กัน
มันคนละเรื่อง ไม่เกี่ยวกับผมเลยนะเรื่องนี้
สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รัฐมนตรีแชร์บอมบ์
ทำไมต้องใช้ท่านเป็นตัวจุดประเด็น
มันเป็นเหตุต่อเนื่องเฉยๆ แต่เป็นคนละเรื่องกันเลย ไม่น่าเกี่ยวข้องกัน ผมเชื่อว่าเกมอะไรต่างๆ เขามาคิดกันทีหลังด้วยซ้ำ หลังกล่าวหาว่าผมหักหลังเพื่อน หมายถึงเกมแฉเรื่องคนใกล้ชิดนายกฯรับเช็ค 10 ล้านบาท เรื่องมีกิ๊กชื่อมิสวอเตอร์ ฯลฯ จริงๆ มันคนละส่วน ไม่มีส่วนเชื่อมโยงกันเลย และผมก็ไม่ทราบเรื่องด้วย ถ้ามาถามผม ผมก็ไม่มีอะไรจะตอบ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม
โดยข้อเท็จจริง นายธีรพลมีบทบาทในการจัดโผ ครม.มากน้อยแค่ไหน
ก็ผมไม่ได้วิ่ง ไม่ได้ไปขอใคร แล้วจะรู้อะไรล่ะ วันที่เขาวิ่งขอตำแหน่งรัฐมนตรีกัน ผมกลับไปอยู่พื้นที่กับชาวบ้านแล้วจะไปรู้ไหม ที่เขาตั้งผมเข้ามาก็ตั้งให้มาทำงาน ไม่ได้ตั้งให้ไปทะเลาะกับผู้คน
แต่ยังไม่ทันเริ่มทำงาน ก็โดนชวนทะเลาะเสียแล้ว
ถ้าผมไม่ทะเลาะด้วยก็จบ แล้วผมทะเลาะกับใครล่ะ เคยออกมาโต้ใครไหม เสียหายหลายๆ ครั้งยังเฉยเลย
สังคมเลยเข้าใจว่าท่านคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายและแตกแยกภายใน พปช.
ก็ไม่ทราบ ข้อเท็จจริงก็มีเท่าที่ผมพูดไป ผมถึงเฮิร์ต (เจ็บ) มากไง ในช่วงที่ทำหน้าที่รองประธานสภาเมื่อ 10 ปีก่อน คำถามยอดฮิตที่ถูกถามมากที่สุดคือ ถามจริงๆ เถอะ โกรธเป็นไหม (ยิ้มตาพริ้ม) ผมนิ่งนะ ผมควบคุมสติตัวเองได้ดี แต่พอเจอคำว่าหักหลังเพื่อนเข้าไป ผมเบรกแตกเลย ดูออกเลยว่าให้สัมภาษณ์แบบมีอารมณ์ ซึ่งมันไม่ใช่ผม ผมยังตำหนิตัวเองเลยว่าทำไมปล่อยอารมณ์ตัวเองขนาดนั้น ก็แหม! ให้ใจเขาเต็มที่แล้วผลได้รับมาเป็นแบบนี้ นึกออกไหมว่ารับไม่ได้
รู้สึกเจ็บใจหรือไม่ที่ถูกเพื่อนเก่ากล่าวหาว่าหักหลัง
อย่าไปถึงอย่างนั้นเลย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ การเมืองก็อย่างนี้
ทุกวันนี้ยังพูดคุยกับ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนาที่ออกมาโจมตีหรือไม่
ก็... ไม่มีอะไร เจอก็คุย แต่ยังไม่ได้เจอ ผมไม่ซีเรียส
กังวลหรือไม่ว่าอาจได้รับเชิญให้เป็นนักแสดงนำในเนื้อหาอีก 90 กว่าตอน ที่กลุ่มอีสานพัฒนาระบุว่าจะนำมาเปิดโปงต่อ
ไม่เป็นไร ผมไปบวชมา 10 วัน วันละกว่า 10 ชั่วโมง ผมมีอุเบกขา และสรุปได้ว่าทั้งหมดนี้มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของผม ถ้าคิดได้อย่างนี้ ต่อให้เขามายืนด่าแม่เรา ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องของเขา มันก็จบ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเราเมื่อไร ก็ต่อยปากมันเมื่อนั้นแหล่ะ ถูกไหม
ลึกๆ แล้วคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังขบวนการเคลื่อนไหวครั้งนี้
ผมไม่ได้ไปยุ่งกับเขาเลย ไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง ไม่อยากเดา ไม่ดีที่จะไปคาดเดา ส่วนปัญหาจะจบอย่างไร ผมก็ไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่ได้สนใจติดตาม งานในกระทรวงก็ยุ่งแล้ว
ถ้าคนอกหักมีตำแหน่งปลอบใจ ปัญหาน่าจะจบลงหรือไม่
ก็ไม่ทราบอีก จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาคิดอย่างไร
ในฐานะ รมว.วัฒนธรรม เข้าใจวัฒนธรรมมุ้งการเมืองว่าเป็นอย่างไร
(หัวเราะ) ผมมันหัวหน้ามุ้งอยู่แล้ว ทำไมจะไม่เข้าใจ
เป็นหัวหน้าตัวจริงหรือเปล่า เพราะมีเสียงนินทาว่าเป็นหัวหน้านอมินี
เหรอ ก็เรื่องตลกทั้งนั้นแหละ เอาว่าผมทำหน้าที่หัวหน้ามุ้งสมบูรณ์แบบ เขาทำอะไรผมก็ทำอย่างที่เขาทำ ผมเป็นตัวจริงแน่นอน ไม่ใช่ตัวปลอม
เหตุใดถึงมีข่าวว่าสนิทชิดชอบกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำกลุ่มภาคเหนือ และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล เป็นพิเศษ
ผมสนิทกับทุกคน มีใครบ้างที่ผมไม่สนิทใน พปช. ก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่อุดมการณ์อาจจะต่างกัน แนวความคิดอาจไม่ตรงกัน ดีก็เอา ไม่ดีก็ไม่เอาเท่านั้นเอง
ประเมินสถานการณ์ของรัฐบาลหลังจากนี้อย่างไร
สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย น่าจะอยู่ยาว เพราะไม่มีเหตุทำให้อยู่สั้น ยุบสภานี่ก็ไม่ยุบเพราะไม่มีเหตุผล ยุบพรรคก็ตั้งพรรคใหม่ สานกันต่อ คนที่เหลือก็เดินต่อไป ส่วนการเดินทางออกนอกประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนนั้นก็มีส่วนเกี่ยว ถูกไหม มันทำให้ทุกอย่างเย็นลง ก็น่าจะอยู่ยาว
เชื่อข้อวิเคราะห์ของหลายฝ่ายที่บอกว่าอายุรัฐบาลจะสั้น หรือยาวขึ้นอยู่กับปัญหาภายใน พปช. หรือไม่
(ตอบทันควัน) เชื่อ
ขณะนี้ถือว่าศึกใน พปช.รุนแรงถึงขั้นทำให้รัฐบาลล้มหรือยัง
ผมเรียนเลยว่าพรรคการเมือง 200 กว่าเสียงนี่นะ ถ้าไม่มีเรื่องทะเลาะกันเลย ไม่มีความแตกแยกให้เห็น เป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว ถ้ามันไม่ทะเลาะกันเลย ว่าอย่างไรว่าตามกัน อันนั้นผิดปกติเลยนะนี่ อย่าว่าแต่ 233 เสียงเลย 20 กว่าเสียงก็ทะเลาะกันแล้ว นี่คือธรรมชาติทางการเมือง แล้วจะเอาเรื่องปกติมาพูดให้ดูไม่ปกติทำไม
แต่หลายฝ่ายประเมินว่าบาดแผลที่เกิดจากการปรับ ครม. สมัคร 4 อาจทำให้กลุ่มภาคเหนือกับภาคอีสานไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก นาทีนี้แผลที่ว่ายังไม่ส่งผลถึงระดับนั้นแน่นอน แต่ในอนาคตไม่ทราบ ก็เป็นธรรมชาติการเมือง
คิดว่าคุ้มหรือไม่กับการได้ตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม พร้อมการสร้างรอยแผลเป็นให้แก่ พปช.
อ๋อ... เขาออกแบบไว้อย่างนี้ไม่ใช่หรือ นี่เดินตามแบบที่เขาออกแบบไว้ให้เลยนะ ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มันก็ต้องเป็นแบบนี้ จะให้เป็นแบบอื่นได้ไง ปั้นช้างก็ต้องได้ช้าง เป็นเรื่องปกติ รัฐธรรมนูญมันเขียนเพื่อทำลายการเมือง เรียงคิวกันทุกพรรค ไล่ตั้งแต่ชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) พปช. และคิวสุดท้ายก็จะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์