´ปริญญา´ขู่ยุบปชป. ที่ยื้อเพื่อรอฟัน แค้นหาเป็นโจร เว็บไซต์ฉะศาล

ไทยโพสต์

6 มิถุนายน 2549 กองบรรณาธิการ

"ปริญญา" รับไม้ "พี่หนา" ประกาศเช็กบิลทั้งนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ออกมาไล่ กกต. ขู่ถึงขั้นยุบพรรค ทีให้ลงสมัครก็ไม่มา แล้วมาหาไม่เป็นประชาธิปไตย

ยอมรับตอนนี้ไปไหนไม่กล้ามองหน้าใครเพราะถูกหาเป็นโจร ปชป.โวยถูกจองล้างจองผลาญ "สุวโรช" ยันมีเทป "ปริญญา" ช่วยน้องหาเสียง ส.ว. ศาลเตือน "สุเทพ" อย่าให้ข่าวออฟไซด์ สั่งห้ามเผยแพร่คำเบิกความพยานคดีฟ้อง กกต. เว็บไซต์ "ทักษิณแฟนคลับ" ราดน้ำมันปลุกระดมต่อต้านศาล ทีมกฎหมายสภาแนะ "สุชน" ให้ศาล รธน.วินิจฉัย กกต.

นายปริญญา นาคฉัตรีย์ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์รายการ "เช้าวันนี้ที่เมืองไทย" ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถึงกรณีที่หลายฝ่ายโดยเฉพาะศาล ออกมาเรียกร้องให้ กกต.ลาออก ว่าเหตุการณ์ขนาดนี้ต้องพิจารณาตัวเองว่าคงอยู่ไม่ตลอด ที่ยังอยู่ไม่ได้นั่งทับอะไร แต่กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อลงโทษคนไม่ดีที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง กล่าวหาคนโน้นคนนี้ และ กกต.ไม่เป็นประชาธิปไตย คนที่พูดนั้นจะถูกแฉออกมา ตนจะนำคนไม่ดีออกจากสังคมการเมือง แต่ถ้าไล่ กกต.ได้ ตัวเองก็จะพ้นผิด

ถามว่าเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองใหญ่ใช่หรือไม่ บทลงโทษถึงขั้นยุบพรรคและต้องพ้นจากการเมืองใช่หรือไม่ นายปริญญากล่าวว่า พรรคใหญ่และพรรคเล็กมีศักดิ์ศรีเท่ากัน หากพรรคใดทำผิดต้องโดนยุบพรรค

"หลักฐานมีมากกว่า 1 พรรค อย่าเพิ่งไล่ผมออกไปก่อนแล้วกัน สังเกตดูคนไหนออกมาไล่ คนนั้นและพรรคนั้นก็อาจเข้าข่ายจะถูกยุบก็ได้ จึงมีการออกมารุม คนที่ออกมาอาละวาดว่า กกต.ต้องออกไปภายใน 3 วันคงจะกลัวกระมัง กลัวถูกเช็กบิลเพราะอาจถึงตัวเมื่อใดไม่รู้ เวลาผมไปขอให้ลงสมัครก็ไม่มา แล้วมาบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ลองคิดดูว่าใครไม่เป็นประชาธิปไตยกันแน่"

นายปริญญากล่าวว่า ที่บอกว่า กกต.ไม่เป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้ง 2 เมษายนเข้าข้างรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดรัฐบาลเป็นผู้กำหนด หาก กกต.ไม่ปฏิบัติตามก็ผิดกฎหมาย ส่วนการหันหลังให้คูหาเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าการลงคะแนนไม่เป็นความลับ แต่ไม่ได้บอกว่า กกต.ทำผิด กกต.พยายามทำด้วยความสุจริต แต่อาจไม่เป็นความลับ คดีนี้ ว่าที่ ส.ส.ไปร้อง กกต.ที่ศาลอาญา ศาลไม่รับพิจารณา แต่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าผิด นี่คือมาตรฐาน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อศาล และกรณีที่ศาลพิจารณาการรับสมัคร ส.ส.แบบเวียนเทียน ขอเรียนว่ากฎหมายมาตรา 108-109 ไม่ได้เขียนห้ามไว้ แต่เป็นดุลพินิจของ กกต.ท้องถิ่นจะเป็นผู้พิจารณารับสมัคร

"กกต.ถูกกล่าวหาในสิ่งไม่ถูกต้องและเจ็บช้ำ ผมทำดีมาตลอดชีวิตราชการ รับใช้เบื้องยุคลบาทและได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งลงมา ไม่มีทางที่จะไปทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ผมไปไหนในตอนนี้ไม่กล้ามองหน้าประชาชน เพราะถูกมองว่า กกต.คือโจร เราต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่โจร ผลงานที่จะทยอยออกมาจะชี้ให้เห็นชัดว่า กกต.ไม่ใช่โจร ไม่ใช่ไม่เป็นกลาง" นายปริญญากล่าว

ขณะที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. ที่บอกว่าจะพิมพ์หนังสือเปิดเผยข้อมูลหลายเรื่องให้สังคมรับรู้ และจะเผยแพร่อย่างช้าวันอังคาร ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ภายหลังเข้าไปทำงานยังสำนักงาน กกต.ว่าหนังสือยังไม่ได้พิมพ์ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าตกลงจะแจกหนังสือเมื่อไหร่ พล.ต.อ.วาสนากล่าวว่า "ผมต้องรายงานให้พวกคุณทราบทุกเรื่องเลยหรือ"

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา พล.ต.อ.วาสนาได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวถึงกระแสกดดันให้ กกต.ลาออก เพราะหมดความชอบธรรมในการทำหน้าที่ ว่า กกต.ปฏิบัติตามกฎหมาย และที่ยังไม่ออกเพราะต้องรอจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งหากใครเห็นว่า กกต.ทำผิดก็ฟ้องศาล หรือยื่นถอดถอนตามกระบวนการ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.ต.อ.วาสนาควรคำนึงถึงกระแสของประชาชน โดยประชาชนรู้ดีและเห็นชัดเจนว่าถ้า พล.ต.อ.วาสนาอยู่ต่อ ความเสียหายของประเทศจะมีมากกว่า ดังนั้น พล.ต.อ.วาสนาต้องชั่งน้ำหนักตรงนี้ให้ดี ไม่ต้องกลัวว่าลาออกแล้วจะไม่มีใครจัดการเลือกตั้ง เพราะศาลฎีกาสามารถวินิจฉัยตรงนี้ได้ชัดเจนว่าถ้าลาออกแล้วงานประจำของ พล.ต.อ.วาสนาจะไม่กระทบแน่นอน

"ขณะนี้สังคมเรียกร้องเรื่องจริยธรรม ทำไม พล.ต.อ.วาสนาถึงไม่คำนึงถึงตรงนี้บ้าง กลับเอาสีข้างเข้าถู มีข้อสังเกตว่า พล.ต.อ.วาสนาและ กกต.คนอื่นไม่ลาออก เพราะเกรงว่าอาจจะมีผลได้ผลเสียกับการยุบพรรคไทยรักไทยหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กมีหลักฐานชัดเจนทั้งพยานบุคคลและพยานภาพถ่าย" นายนิพิฏฐ์กล่าว

ปชป.โต้ "ปริญญา" ขู่ยุบพรรค


นายสุวโรช พะลัง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่นายปริญญาบอกว่ามีหลักฐานจะยุบพรรคการเมืองมากกว่า 1 พรรคนั้น พรรคไม่ได้ให้ความสำคัญว่านายปริญญาส่งสัญญาณถึงพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่พรรคดำเนินการมาตลอดยืนอยู่บนข้อกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นไปได้ที่ กกต.จะอาฆาตมาดร้าย ต้องการจองล้างจองผลาญพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาเปิดโปงข้อมูลที่ไม่ชอบมาพากลในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกรณีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงรับสมัครเลือกตั้ง ที่พรรคพบว่ามีเจ้าหน้าที่ กกต.มีส่วนร่วมในการแก้ไขฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง จนถึงการฟ้องร้อง กกต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

"พฤติกรรมที่แสดงออกมายิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของ กกต.มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายปริญญาที่ชอบชกใต้เข็มขัดคนอื่นมาโดยตลอด" นายสุวโรชกล่าว และว่า อีก 1-2 วันจะเปิดเผยวีซีดีแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ชอบของนายปริญญาในการทำหน้าที่ กกต. โดยนายปริญญาใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปช่วยหาเสียงให้น้องชายตัวเองในการเลือกตั้ง ส.ว.ที่ผ่านมา มีทั้งการแจกเสื้อ ทอดกฐิน และจัดปราศรัยในช่วงที่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ว.แล้ว

แฉศาลช่วยน้องหาเสียง ส.ว.

วันเดียวกัน นายสุวโรช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ กล่าวหา พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต. เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 24 และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

คำฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2549 จำเลยทั้ง 3 ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการออกมติไม่รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ว.ชุมพร ที่นายฉัตรชัย พะลัง น้องชายโจทก์ได้รับเลือกคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ชนะ พล.อ.ไพโรจน์ นาคฉัตรีย์ น้องชายนายปริญญา นาคฉัตรีย์ จำเลยยังได้ร่วมกันแจ้งข้อหากับนายฉัตรชัย รวม 6 ข้อหา ซึ่งมี 2 ข้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัวโจทก์ว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 44 โดยกล่าวหาว่าก่อนการเลือกตั้ง ส.ว.โจทก์กับน้องชายได้กล่าวปราศรัยพาดพิงนายปริญญาจำเลยในทางเสียหาย ทั้งที่ตามระเบียบแล้ว ก่อนที่ กกต.จะแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ใด จะต้องเรียกผู้ถูกพาดพิงไปชี้แจง แต่การแจ้งข้อหาดังกล่าวกลับไม่ได้เรียกโจทก์และนายฉัตรชัยไปชี้แจง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาทันที การกระทำของจำเลยถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และไม่เป็นกลาง

ศาลรับคำฟ้อง นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 31 กรกฎาคม เวลา 13.30 น.

ยกฟ้อง กกต.สั่งเวียนเทียน

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง กกต.ในคดีที่นายวิโรจน์ นิติธรรม กับพวก รวม 9 คน ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. กับพวกรวม 6 คน ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 กรณี กกต.อนุญาตให้ผู้สมัครพรรคเล็กลงรับสมัครในเขตอื่น ในการเลือกตั้ง ส.ส.ระบบแบ่งเขตครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2549

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามที่มีปัญหาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. พ.ศ. 2541 กกต.มีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 145 (3) และกรณีที่มีเหตุให้ต้องสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหา ให้ กกต.ต้องดำเนินการโดยพลันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 19 วรรค 1

ในชั้นพิจารณาพบพยานเอกสารของฝ่ายจำเลยที่แสดงว่า กกต.ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 40/2549 ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2549 ยืนยันว่าผู้สมัครในเขตเลือกตั้งเดิมที่ กกต.ยังไม่ได้ประกาศผลการเลือกตั้งแล้วย้ายไปสมัครในเขตเลือกตั้งใหม่ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ม.108 และ 109 ซึ่งภายหลังจากที่ กกต.มีมติดังกล่าวแล้ว เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้มีหนังสือร้องเรียนถึงจำเลยที่ 1-4 ฉบับลงวันที่ 11-13 เมษายน 2549 ซึ่งมีลักษณะเป็นการไม่เห็นด้วยหรือโต้แย้งความเห็นของ กกต. ดังนั้นไม่ว่ามติของ กกต.ดังกล่าวจะกระทำไปโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขอให้ กกต.วินิจฉัย ตามหนังสือร้องเรียนมีประเด็นอย่างเดียวกันกับเรื่องที่ กกต.มีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2549 กรณียังไม่ถือได้ว่ามีเหตุที่ กกต.ต้องสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยปัญหาหรือข้อโต้แย้งดังกล่าวโดยพลัน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งฯ ม.19 วรรค 1 การกระทำของจำเลยที่ 1-4 และ 6 ตามฟ้อง จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 19, 24 และ 42

กรณีที่โจทก์ทั้ง 9 ยื่นฟ้องจำเลยที่ 5 ว่าเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1-4 และ 6 ในการกระทำผิดตามฟ้องนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-4 และ 6 ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย จำเลยที่ 5 ย่อมไม่อาจเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดได้ ด้วยเหตุผลที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ฟ้องของโจทก์ทั้ง 9 จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

ศาลเตือน "สุเทพ" อย่าออฟไซด์


ส่วนที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องเพิ่มเติมในคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. กับพวก รวม 4 คน ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหมิ่นประมาท กรณี กกต.ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องพรรคการเมืองใหญ่ว่าจ้างพรรคเล็กลงสมัคร ส.ส.

ศาลโดยนายปุณณะ จงนิมิตสถาพร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ครั้งที่ 2

ก่อนไต่สวน ศาลเรียกนายสุเทพมาตักเตือนการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดี ซึ่งศาลเกรงว่าอาจเป็นการสร้างกระแสได้ จึงให้นายสุเทพระมัดระวังต่อการให้สัมภาษณ์ เพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ขณะเดียวกันศาลยังออกข้อกำหนดในการเข้ารับฟังการพิจารณาด้วยว่า เนื่องจากการไต่สวนมูลฟ้องครั้งที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีการเผยแพร่คำเบิกความของพยานมีรายละเอียดไม่ตรงกับการบันทึกของศาล และยังมีการระบุด้วยว่าหากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดี จะเป็นการชี้ว่าเรื่องพรรคใหญ่ว่าจ้างมีมูล ทั้งที่การพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของ กกต. ในการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว ส่วนเรื่องการชี้มูลความผิดเรื่องพรรคการเมืองกระทำผิดเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระ ดังนั้นเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดของประชาชนบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ร่วมฟังการพิจารณา และเพื่อให้เกิดความเที่ยงธรรมในการพิจารณาคดี รวมทั้งการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในศาล ดังนั้นศาลจึงสั่งห้ามบุคคลภายนอกที่ร่วมรับฟังการพิจารณา ทำการจดบันทึกหรือบันทึกเทปคำเบิกความของพยานออกไปเผยแพร่อีก

ทั้งนี้ เมื่อพยานเบิกความเสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดฟังคำสั่งคดีว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 8 มิถุนายน เวลา 11.00 น.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์