คำพูด..มหาจำลอง ..ในอดีต พฤติกรรม.. มหาจำลอง..ปัจจุบัน

เมื่อ1ปีที่ผ่านมา 'พล.ต.จำลอง ศรีเมือง'ถือธงนำหน้าเป็นหัวขบวนขับไล่'ระบอบทักษิณ'ให้พ้นจากวงการเมืองไทย ได้สำเร็จ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นหัวขบวนขับไล่ระบอบทักษิณ แต่'คำพูด'ของพล.ต.จำลองหลังโค่นระบอบทักษิณ ถูกมองว่าต่างจาก 'พฤติกรรม' ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

อดีตเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือธงนำหน้า เป็นหัวขบวนขับไล่ "ระบอบทักษิณ" ให้พ้นไปจากแวดวงการเมืองไทย ได้สำเร็จ

ปัจจุบัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ยังเป็นหัวขบวนขับไล่ "ระบอบทักษิณ" ที่ถูกกล่าวหาอยู่เบื้องหลังรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช"

"คำพูด" ของ พล.ต.จำลอง หลังโค่น "ระบอบทักษิณ" ถูกมองว่าแตกต่างจาก "พฤติกรรม" ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ทั้งที่ระยะเวลาผ่านพ้นไปแค่ 1 ปีกว่าๆ เท่านั้น

นับจากบรรทัดนี้คือ "คำพูด" ของ พล.ต.จำลอง ที่บันทึกเอาไว้ในหนังสือ "ฉะ แฉ ฉาว 2 เล่ห์..ลมปากการเมืองไทย" (สนพ.มติชน) เมื่อ 5 มีนาคม 2550

ลองอ่าน..แล้วคิด..อย่ายึดติดว่าเป็นฝ่ายไหน..?

- เข้ามารับตำแหน่งสมาชิก สนช. (ยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) อย่างไร

ผมก็เป็นเหมือนกับอีกหลายคนที่ไม่ทราบมาก่อน ถ้าผมทราบมาก่อนก็คงขอตัวกับผู้ที่มีอำนาจ เพราะมีงานเพื่อสังคมหลายอย่าง อาจมีเวลาทำงานไม่เต็มที่ แต่เมื่อเข้ามาทำหน้าที่แล้ว ก็พยายามทำให้การทำงานของตัวเองเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกให้มากที่สุด โดยการพิจารณาออกกฎหมาย ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็จะมีส่วนร่วมด้วย

เรามีความเห็นว่ามันน่าจะมีกฎหมายสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุผลของการทำรัฐประหารเข้ามามากๆ ประชาชนจะได้เห็นชัดว่าเนื่องจากบ้านเมืองมีวิกฤต จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง

- หลังการรัฐประหาร เริ่มมีคนของกลุ่มพันธมิตรเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญมากขึ้น จนสังคมเริ่มแคลงใจ

ผมดูแล้ว เขาไม่ได้ทำเพื่อแสวงหา และยังไม่ได้ยินหรือระแคะระคายสักนิดว่า เขาใช้ตำแหน่งนี้ไปหาตำแหน่งหรือผลประโยชน์เข้าตัวเขา

- แสดงว่าในกลุ่มพันธมิตรเองก็มีการจับตากันในกลุ่ม

แน่นอน เพราะเราถือว่าพลังประชาชนจะมีความสำคัญมากก็ต่อเมื่อผู้ที่เป็นแกนนำมีความบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่บริสุทธิ์ ความเชื่อถือก็จะทำอะไรไม่ได้เลย

- ถ้าหากพบว่ามีการใช้ตำแหน่งเพื่อหาผลประโยชน์ จะทำอย่างไร

ถ้าพบขึ้นมาก็จะพูดคุยกับเขา แล้วถ้าหนักหนาถึงตอนนั้นก็คงต้องบอกประชาชนว่า คนที่มีชื่อนี้เขาไม่ร่วมกับเราแล้ว เนื่องจากความคิดไม่ตรงกัน ก็ต้องตัดสินใจ และกล้าที่จะยืนหยัดออกมา ไม่เช่นนั้นความตั้งใจของเราที่อยากให้มีกลุ่มพลังประชาชนที่บริสุทธิ์ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

- ความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำกลุ่มพันธมิตรขณะนี้เป็นอย่างไร

ก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องระแวงสงสัย หรือหนักใจ ต่างก็รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน

- แล้วความสัมพันธ์ของกลุ่มพันธมิตรที่มีต่อท่าน

ยังคงเหมือนเดิม เพราะในกลุ่มรู้ดีว่าผมทำอยู่นี่ ไม่ได้อะไร มีแต่หน้าที่เพิ่มขึ้น จากเดิมผมก็เคยมีตำแหน่งทางการเมืองอยู่แล้ว ทุกคนก็เข้าใจ และไม่สงสัยว่าผมทำเพื่อจะได้เป็นตำแหน่งนี้ เพราะผมไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาลาภยศและตำแหน่ง

- ใช่ช่วงที่สังคมเรียกร้องเรื่องความสมานฉันท์ บทบาทของกลุ่มพันธมิตรได้ช่วยสร้างให้เกิดความสมานฉันท์ในประเทศอย่างไร

คำว่าสมานฉันท์ อย่าไปแปลผิด บางคนไปแปลว่า ใครเขาทำอะไรพลาดก็เลิกคิด เลิกพูด ใครผิดก็ไม่ต้องมาพูดใหม่ พูดแล้วไม่สมานฉันท์ อย่างนี้มันผิด ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีศาล ไม่ต้องมีตำรวจ ใครผิดแล้วก็ให้ผิดไป แล้วก็กลับมาทำผิดกันใหม่อีก ก็ยกเลิกกันไป อย่างนี้ไม่เรียกว่าสมานฉันท์

สมานฉันท์คือเราอย่าทำด้วยความสะใจ อย่าทำด้วยความอาฆาต แต่เราต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม เราอย่ามาหาเรื่องทะเลาะกันโดยไม่จำเป็น พยายามขจัดความขัดแย้งต่างๆ เสีย ไม่ใช่ไม่ยุ่ง ไม่พูด ใครที่ทำอะไรผิดก็ให้อยู่เฉย ถ้าพูดออกมาก็ถือว่าสร้างความแตกแยก นี่ไม่ใช่ แต่เป็นการแปลคำว่าสมานฉันท์ผิด

- แต่หลายคนก็มองว่าบทบาทของกลุ่มพันธมิตรยังไม่ทำให้เกิดความสมานฉันท์เท่าที่ควร

มันเป็นหน้าที่ของทุกคน และการออกมาของกลุ่มพันธมิตรก็ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น ไม่ได้มาหาเรื่องใหม่ เป็นเรื่องเก่าทั้งนั้นที่เขาทำผิดพลาด เราก็บอกว่าต้องรีบเร่งการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้ออกมา ผิดก็เป็นผิด ถูกก็เป็นถูก ไม่ใช่เขาถูกแล้วไปว่าเขาผิด หรือเขาทำผิดแล้วบอกว่าต้องสมานฉันท์

- จังหวะก้าวของกลุ่มพันธมิตรก่อนเลือกตั้งเป็นอย่างไร

ในช่วงก่อนการเลือกตั้งคงเป็นเรื่องที่เรารวมประชาชนและบอกให้ประชาชนทราบว่าวาระสำคัญกำลังจะมาถึงแล้ว เราต้องแก้ไขไม่ใช่ทำอย่างเก่า แต่ต้องเลือกคนที่ทั้งเก่งและดี เสียสละให้แก่ประเทศ ถ้าไม่พร้อมจะเสียสละก็อย่าเข้ามา เราต้องบอกให้ประชาชนได้ทราบ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะเสียหาย ซึ่งการบอกประชาชนก็ทำมาโดยตลอด

- แล้วหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร

ส่วนหลังการเลือกตั้งก็ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ คงจะทำหน้าที่เดิมคือการสอดส่องว่ามีอะไรที่ทำไม่ถูกต้องบ้าง โดยจะเสนอผ่านสื่อ หรือเสนอโดยตรงกับรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลใหม่นั้นจะมาจากพรรคใดก็ตาม และถ้าเราทำแล้วได้ผลมากขึ้น ประชาชนก็จะมั่นใจว่าเราคือเจ้าของประเทศ ที่ไม่ใช่มีแค่สิทธิหน้าที่ในการหย่อนบัตรเท่านั้น แต่ยังมีสิทธิในการควบคุม ดูแลรัฐบาล

- เป็นไปได้หรือไม่ที่กลุ่มพันธมิตรจะหันเข้าสู่การเมือง

เรายืนยันมาตลอดว่าไม่ ถ้าใครเข้าไปอยู่กลุ่มการเมือง เขาก็ต้องแยกออกไป ดูแล้วมันไม่ใช่บันไดไต่เต้าไปสู่การเมือง ถ้าจะเป็นการเมืองก็เป็นการเมืองโดยบังเอิญ มีคนเสนอไปแล้วตัวเองยังไม่รู้ แต่ไม่ใช่เสนอตัวเองหรือพยายามเข้าไป

- รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ยังเป็นรัฐบาลจากคนเดิมในพรรคไทยรักไทย กลุ่มพันธมิตรจะมีการเคลื่อนไหวหรือไม่

ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะเราไม่ได้บอกว่าพรรคนั้นเป็นได้ พรรคนี้เป็นไม่ได้ ที่เราบอกก็คือต้องไม่โกง ไม่โง่ ไม่ขี้เกียจนะ ไม่โกงจริง แต่โง่ก็ไม่ได้เหมือนกันนะ หรือไม่โกง ไม่โง่ แต่ขี้เกียจก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

- ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้าสู่การเมือง จะทำอย่างไร

สำหรับผม ก็จะไม่ทำอะไร ต่อให้แกออกไปก็ต้องมีการตรวจสอบกัน ถ้าแกบริสุทธิ์ แกไม่ผิด แกก็กลับเข้ามาใหม่ได้ ผมเคยพูดตั้งสมัยที่เราไปคัดค้านแล้วว่า ถ้าอยู่ในตำแหน่งจะตรวจสอบไม่ได้ เพราะยังมีอำนาจอยู่

ดังนั้นในส่วนตัวผม ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้ทำเพราะโลภ โกรธ หลง โลภก็คือคัดค้านแล้วผมได้ แต่ผมไม่ได้อะไร มีแต่เสีย ต้องไปกินนอนกลางถนน รวมแล้ว 33 วัน 33 คืน ผมไม่ได้ทำเพราะโกรธ

หากวันนี้ได้เจอกันในขณะที่เหตุการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ ผมยังระลึกเสมอว่าคุณทักษิณก็เป็นน้องชายที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมา แต่ที่ทำเพราะเรื่องส่วนรวม คุณทักษิณก็เคยพูด ตอนที่ผมเคยขัดแย้งกับแกเรื่องการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล บอกว่าพี่ลองรักผม แต่พี่ลองรักบ้านเมืองมากกว่า

และผมไม่ได้ทำเพราะโง่งมงาย ที่ออกมาคัดค้านคุณทักษิณ เพราะการขายหุ้นให้แก่เทมาเส็ก เรื่องอื่นเถียงกันได้ แต่การขายหุ้นมันไม่มีเหตุผล ผมทำด้วยเหตุผลและข้อมูลที่พร้อม ไม่ใช่โดดออกมาก่อนใครเพื่อน จะเห็นว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองหลายครั้งผมออกมาทีหลัง เพราะไตร่ตรองหลายครั้งว่าจำเป็นที่จะต้องออกมาหรือไม่

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11053