คม-ชัด-ลึก
สุเทพ เตือน ธรรมรักษ์ ข่มขู่พยานสะท้อนอำนาจมืดระบอบทักษิณ ลั่นพร้อมแฉหลักฐานในศาล ขู่มีคนส่งหลักฐานฟันกกต.เพิ่ม แจงรู้ผลสอบชุด นาม จากข่าว
(1มิย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ปฏิเสธไม่ได้พบกับตัวแทนพรรคเล็กเพื่อจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยท้าให้เอาปืนมายิงหัวได้ ว่า ใครจะกล้าไปยิงหัวรมว.กลาโหม ทั้งนี้พล.อ.ธรรมรักษ์ มีสิทธิป้องกันตัวเอง แต่วิธีการพูดที่ท้าทายนั้น ฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และอยากตั้งข้อสังเกตที่ระบุว่าเป็นห่วงพยานจะมีอันเป็นไป เป็นการพูดจาเสมือนทำให้ประชาชนเข้าใจว่าหลังจากจบคดีนี้ตนจะไปทำอะไรพยาน ขอยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพยานโดยฝีมือพวกตนแน่นอน เพราะตนและคนในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่นักเลงอันธพาล ไม่มีประวัติใช้อิทธิพลอำนาจมืดเล่นงานใคร ขณะนี้พยายามดูแลพยานอย่างเต็มที่ แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับตน หรือพยาน ขอบอกว่าไม่มีคนอื่น นอกจากคนกลุ่มที่ออกมาขู่เป็นระยะๆ เท่านั้น การกระทำดังกล่าว เป็นการฟ้องประชาชนว่า สิ่งที่ออกมาแสดงถึงตัวตนที่แท้จริงของระบอบทักษิณ ได้อำนาจรัฐแล้วใช้ทั้งข้าราชการ ใช้ทั้งอิทธิพลอำนาจมืด อันนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ที่พูดจาแสดงออกมา เวลาไปต่างประเทศทำทุกอย่างตามกติกา ไปดูกระจกเสียบ้าง ดูลูกน้องตัวเองที่พูดจามาบ้าง กติกาประชาธิปไตยไม่ให้มีข่มขู่ประชาชน ฝ่ายตรงข้าม คู่แข่งทางการเมืองอย่างนี้
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนที่ไม่มีภาพพล.อ.ธรรมรักษ์ อยู่คู่กับหัวหน้าพรรคการเมืองที่รับเงิน อาจเอาผิดได้นั้น ความจริงรูปที่นำมาเป็นเพียงหลักฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีเอกสารเป็นใบเสร็จรับเงิน ใบสำคัญจ่ายเงิน คำให้การของพยานอื่นอีกมากมาย ซึ่งภาพที่นำมาเป็นเพียงแค่หนึ่งฉากเท่านั้นในเรื่องทั้งหมด ดังนั้นเวลาสู้คดีกันหากมีความจำเป็นที่จะต้องเสนอหลักฐานอะไรเพิ่มเติมต่อศาล ตนก็จะทำ แต่หากเห็นว่าเพียงพอแล้วก็ไม่ต้องยื่น เพราะประเด็นที่ต้องการดำเนินการคือกกต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือทุจริต เท่านั้น เมื่อถามว่าจะนำหลักฐานดังกล่าวไปมอบให้กกต.เพิ่มเติมหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนได้ให้เอกสารหลักฐานกับกกต.ไปส่วนหนึ่งแล้วและได้บอกไปแล้วว่าหากต้องการให้ตนร่วมมืออะไรเพิ่มเติมก็ขอให้บอก หากมีการขออะไรมา ตนก็ยินดีให้
นายสุเทพ กล่าวว่า กกต.ทำอะไรจะยิ่งมัดตัว และมีคนทนไม่ได้จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานมาให้ตน ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 1 มิ.ย.มีคนโทรศัพท์มาหาตนว่ามีหลักฐานเพิ่มเติมจะส่งมาให้ ซึ่งก็รออยู่ ขณะเดียวกันตนก็จะติดตามดูพฤติกรรมของกกต.ที่ได้เรียกผู้บริหารพรรคไทยรักไทยไปให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ตนจะได้รวบรวมไปเสนอต่อศาลเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะเข้าด้วยช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต หากตนได้หลักฐานตรงนี้ครบ ศาลก็จะยิ่งตัดสินง่ายขึ้น
นายสุเทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ธรรมรักษ์ระบุในทำนองว่านายสุเทพรู้ข้อมูลผลสอบชุดที่นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานอนุกรรมการสอบก่อนที่จะนำมาเปิดเผยว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ยิ่งพูดก็ยิ่งเป็นบาป เป็นการกล่าวหานายนาม ขอยืนยันว่าตนไม่เคยรู้จักกับนายนาม เป็นการส่วนตัว เคยเห็นหน้ากันในห้องประชุมกกต.วันที่ตนไปแถลงข้อกล่าวหาเพียงครั้งเดียว และจำหน้าไม่ได้จนบัดนี้ ทั้งนี้รายงานของกกต.ไม่ใช่ความลับ เพราะสื่อมวลชนนำมาเผยแพร่ และเมื่อตนทราบว่ามีรายงานนี้ ก็ไปหามา เพื่อนำไปยื่นเป็นพยานต่อศาล โดยไม่ได้สังเกตว่าข้อความฟ้องจะคล้ายกับข้อความในรายงานของอนุกรรมการ แต่ถึงไม่ได้เห็นรายงานนั้น ในฐานะที่ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ตนก็ทราบว่าลำดับความในการทำทุจริตเรื่องนี้เป็นอย่างไร เพราะได้สอบพยานหลายครั้งด้วยตัวเอง ดังนั้นหากใครมาสอบพยานวันข้างหน้าก็จะได้ลำดับความเหมือนๆ กัน
ผมไม่ได้รู้ผลสอบก่อนล่วงหน้า ผมรู้หลังคนอื่น และคิดว่ารู้หลังคนในพรรคไทยรักไทยด้วยซ้ำ เพราะจะสังเกตเห็นว่ารายงานของคณะอนุกรรมการครั้งแรกลงวันที่ 9 เม.ย. กว่าสื่อมวลชนจะนำมาเปิดเผยผมเข้าใจว่าวันที่ 19 หรือ 20 เม.ย. แต่รายงานไปอยู่ในมือของกกต.ชุดใหญ่ร่วม 10 วัน แล้วมีคนบอกผมว่าคนในพรรคไทยรักไทยได้ก็อปปี้ไปแล้ว ไม่รู้ได้ไปจากใคร และหนที่สองรายงานของคณะอนุกรรมการครั้งที่สอง ลงวันที่ 8 พ.ค. ผมคิดว่าสื่อมวลชนกว่าจะนำมาเปิดเผยวันที่ 10 หรือ 11 พ.ค. แต่ผมได้ข่าวว่า คนในพรรคไทยรักไทยรู้ก่อนนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าไปอย่างไร อันนี้เมื่อมีกกต.ชุดใหม่ก็คงหาหลักฐานได้ แต่ถ้ากกต.ชุดนี้ยังอยู่ คงหาหลักฐานไม่ได้ ที่บอกว่าผมรู้รายงานก่อน สงสัยพูดกลับข้างแล้ว นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลภาพลับที่นำมาเผยแพร่ ได้มาจากคนในพรรคไทยรักไทยนั้น ตนไม่อยากทำบาปกับใคร ยืนยันว่าไม่มีคนในพรรคไทยรักไทยส่งให้ แต่เป็นข้อมูลจากคนอื่นที่หวังดีส่งมาให้ สำหรับกรณีที่มีการเขียนข้อความติดไว้ที่กระทรวงกลาโหมระบุว่า คนใกล้ชิดอาจเป็นมิตรของศัตรู ความลับรั่วไหลเป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อชาตินั้น ขอประชาชนอย่าอารมณ์เสีย หรือเบื่อ และขอให้ติดตามดูแล้วจะเห็นว่า บ้านเมืองปกครองด้วยคนพรรค์อย่างนี้เอง ถึงได้เป็นปัญหากันอยู่