หมายเหตุ - เป็นการเปรียบเทียบคำแปลคำบรรยายภาษาอังกฤษของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ และนายจักรภพและคณะได้จัดทำขึ้น
ทั้งนี้ในการแถลงข่าวยืนยันไม่ลาออก นายจักรภพเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2551 นายจักรภพได้แจกเอกสารคำแปลของนายจักรภพ คำแปลฉบับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และฉบับ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี ผู้กล่าวหานายจักรภพในคดีหมิ่นเบื้องสูง
---------------------------
(ฉบับจักรภพ น.1)
...ถ้านำผลการของการลงประชามติเมื่อ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา มาวิเคราะห์อย่างจริงจัง ท่านจะเห็นถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างคนไทยจำนวนร้อยละ 56 และร้อยละ 41 ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีครั้งใดที่คนจำนวนมากขนาดนั้นจะลุกขึ้นมาประกาศว่าเราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์อีกต่อไป สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการคือประชาธิปไตย ไม่ใช่ใครสักคนที่จะมาตบหลัง ตบไหล่ แล้วบอกว่า ฉันจะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอควรจะต้องสำนึกบุญคุณ
(ฉบับ ปชป.)
..เป็นการปะทะกันระหว่างประชาชนจำนวน 56% และประชาชน 41% ของประชากรทั้งหมด ไม่เคยมีครั้งไหนที่ประชาชนออกมาเป็นจำนวนมากและประกาศก้องว่า 'เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป' ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งมาลูบหลัง และบอกกับเราว่า 'ฉันจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นบ้าง แต่ต้องสำนึกในบุญคุณของฉัน'
-------------------------------
(ฉบับจักรภพ น.2).
..นี่เป็นบทเรียนแรกที่เด็กนักเรียนของไทยได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบการปกครองของไทยว่า เราต้องการพึ่งพาใครสักคน ถ้าเรามีปัญหา ให้ไปหาใครสักคนที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ดังนั้น ก่อนที่เราจะรู้ตัวด้วยซ้ำไป เราได้เข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์ เพราะเราถามหาการพึ่งพาอาศัยก่อนที่เราจะพิจารณาถึงความสามารถของตนเองในการแก้ปัญหา
(ฉบับ ปชป.)
...เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งในบทเรียนแรกๆ ที่นักเรียนไทยได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบการเมืองของไทยว่า มีคนที่เราสามารถพึ่งพาได้ยาก มีปัญหาเราสามารถหันไปพึ่งพาคนที่ช่วยเราได้ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เราจะรู้ตัว เราก็ถูกชักนำเข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์เสียแล้ว เพราะเรามุ่งแต่จะพึ่งพาอาศัยคนอื่น แทนที่จะพึ่งพาความสามารถของตัวเอง
-------------------------------------
(ฉบับจักรภพ น.5)
...เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับอำนาจ เมื่อข้าพเจ้าอายุมากขึ้น และได้เรียนรู้ว่าควรทำอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไร้ซึ่งอำนาจ แนวคิดของการมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานเป็นเสมือนเครื่องเตือนให้เราตระหนักว่าเราอาจจะต้องการผู้นำที่จะมาดำเนินการจัดลำดับความสำคัญต่างๆ ให้เรา ท่านเคยเห็นหรือไม่ครับ ทุกสิ่งที่ผมได้เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นำไปสู่ความยึดมั่นของคนไทยว่า การที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีความเมตตากรุณาเช่นนี้แล้ว เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีประชาธิปไตย เราถูกชักนำให้เชื่อว่ารูปแบบของรัฐบาลที่ดีที่สุดคือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำ หรือภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แนวคิดที่พัฒนามาในลักษณะนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ในปัจจุบันขึ้น ผมมองว่าเป็นการปะทะกันระหว่างวิถีทางประชาธิปไตยของไทยและระบบอุปถัมภ์
(ฉบับ ปชป.)
'เมื่อผมมีอำนาจ ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจนั้นอย่างไร แต่เมื่อผมโตขึ้นและได้รู้ว่าจะใช้อำนาจอย่างไร ผมกลับไม่มีอำนาจแล้ว' การได้บางสิ่งบางอย่างในเวลาที่ผิด ย้ำเตือนเราว่าอาจมีความจำเป็นที่ต้องมีผู้นำที่มาเปลี่ยนแปลงให้เราใหม่หมด ท่านเห็นหรือไม่ว่าทุกอย่างที่ผมกล่าวมาตั้งแต่ต้น นำไปสู่ความเชื่ออย่างแน่วแน่ของคนไทยว่า หากยังมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องมีระบอบประชาธิปไตย เราถูกชักจูงให้เชื่อว่ารูปแบบของการปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำ หรือการปกครองแบบประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอันสง่างามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการพัฒนาแนวคิดและความเชื่ออย่างต่อเนื่องมาจนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งผมมองว่าเป็นการปะทะกันระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์
---------------------------------------
(ฉบับจักรภพ น.6)
...ดังนั้น การได้รับการอุปถัมภ์จึงไม่ใช่การ ไม่มีอารยธรรม แต่เวลานี้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งในปัจจุบันเพราะเวลานี้มีคนจำนวนมากที่ก้าวออกมาและประกาศว่าเราไม่ต้องการความสุขลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีกแล้ว ...(ข้อสังเกตว่า นายจักรภพและคณะ ไม่ได้แปลความในประโยคที่ว่า we dont want anymore of your danmn patronage !)
(ฉบับ ปชป.)
... ดังนั้น การที่มีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องบาป ไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่ทั้งหมดกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เราจึงต้องปะทะกัน เพราะมีประชาชนจำนวนมากพอสมควรที่ออกมาและบอกว่า 'ไม่ เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์เฮงซวยของท่านอีกต่อไป'
--------------------------------------
(ฉบับจักรภพ น.6)
..แต่เมื่อนับรวมวิธีการเทคนิคต่างๆ ที่บรรดา 'พี่ใหญ่' ทั้งหลายใช้ พวกเขาได้เสียงสนับสนุนเพียงร้อละ 56 ซึ่งแทคติคนั้นรวมถึงการขึ้นป้ายขนาดใหญ่ทั่วทั้งกรุงเทพฯ และอาจจะมีนอกเขตกรุงเทพฯด้วย แต่ผมไม่เห็นนะครับ ผมเห็นแต่ป้ายขนาดใหญ่ตลอดข้างทางดอนเมืองโทลล์เวย์จากสนามบินเก่าของเราคือดอนเมือง ข้อความพวกนั้นก็เป็นไปในทำนองที่ว่าพวกเราคนไทย ควรจะออกเสียงไปในทิศทางเดียวกัน เราเชื่อมั่นในสิ่งเดียวกัน เราต้องลงคะแนนเสียงเหมือนๆ กัน แต่สิ่งสำคัญมากๆ ก็คือชื่อที่ลงท้ายข้อความต่างๆ ในป้ายขนาดใหญ่เหล่านั้น มีการระบุว่าเป็นกลุ่มคนใส่เสื้อเหลือง หรืออีกนัยหนึ่งเมื่อนับคนใส่เสื้อเหลืองกลุ่มนั้น รวมกับเทคนิควิธีการต่างๆ แล้ว ก็ยังได้คะแนนเสียงแค่ร้อยละ 56 นั่นเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ประเทศไทยของเราอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลง
(ฉบับ ปชป.)
...แต่ทั้งหมดนั่นรวมทั้งเล่ห์กลต่างๆ ของผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ พวกเขาก็ได้เพียง 56% ซึ่งก็รวมถึงการติดป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพฯและอาจจะนอกกรุงเทพฯด้วยผมไม่เห็น ผมเห็นแต่ป้ายโฆษณาจำนวนมากตลอดทางยกระดับดอนเมือง ซึ่งมีข้อความเช่น 'คนไทยต้องร่วมชะตา ลงเรือลำเดียวกัน' แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือชื่อท้ายข้อความบนป้ายเขียนว่า 'ประชาชนคนเสื้อเหลือง' กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ 'ประชาชนคนเสื้อเหลือง' รวมกับเล่ห์กลทุกอย่าง แต่คุณกลับได้เพียง 56% นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของคุณแล้ว ประเทศไทยกำลังใกล้ถึงจุดการเปลี่ยนแปลงเต็มทีแล้ว
-------------------------------