โยนกม.พิพากษาจักรภพ ปชป.ติรบ.สอบตก5ด้าน

นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  ในฐานะรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน  กล่าววันนี้ (19 พ.ค.)

กรณี  ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง  โฆษกพรรคพลังประชาชน เสนอให้  นายจักรภพ  เพ็ญแข  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกเพื่อต่ออายุให้รัฐบาล หลังจากที่ฝ่ายค้านได้ยื่นข้อมูลคำบรรยายของ  นายจักรภพ  ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน  ให้  นายสมัคร  สุนทรเวช  นายกรัฐมนตรี  ว่า  พรรคพลังประชาชนอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ส่วนตัวยังไม่ได้ฟังหรือเห็นสิ่งที่ นายจักรภพ ได้พูดออกไป

"
บ้านเมืองก็มีกฎหมาย และกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ต้องมาพิจารณาว่า ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่  และคงต้องรอให้ นายจักรภพ  ชี้แจงจากการแปลคำปาฐกถาที่ได้กล่าวไว้ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ  อยากให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามขั้นตอน  รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง หรือชี้นำว่า บทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร  น่าจะเป็นวิธีที่ดีสุด เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ให้กระจ่าง  หากรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซง  ก็อาจจะถูกตั้งข้อครหาได้" รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวและว่า ในส่วนความเห็นของ ร.ท.กุเทพ ถือเป็นความเห็นส่วนตัว   ไม่ได้เป็นความเห็นของพรรคพลังประชาชน  ส่วนพรรคพลังประชาชนจะพิจารณาอย่างไร   คงต้องให้  นายสมัคร  ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นผู้พิจารณา  อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรคพลังประชาชนได้พูดคุยในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว  เมื่อมีการทักท้วงและสังคมได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้

รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวด้วยว่า

ผู้บริหารพรรคพลังประชาชนต้องพิจารณาและรับฟังความคิดเห็น รวมถึงให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามข้อเท็จจริง โดยจะไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการใดๆ  ทั้งสิ้น  เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน  สำหรับการพิจารณาเรื่องดังกล่าว  เราจะดูในแง่ของข้อเท็จจริงมากกว่า  แต่ยังไม่ได้มีการเชื่อมโยงว่าเรื่องนี้จะทำให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) 
 

ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันเดียวกัน ถึงการประเมินผลการทำงาน
3 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาล ว่า

ผลการสำรวจของหลายสำนักระบุว่ารัฐบาลสอบตก  เพราะรัฐบาลมุ่งเน้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่ามุ่งแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ขณะที่สังคมวิจารณ์ว่ารัฐบาลต้องการทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง ปัจจัยภายใน
5 ด้านที่ทำให้รัฐบาลสอบตก

คือ
1. รัฐบาลไร้ทิศทาง ทั้งสภาพการทำงานของรัฐบาลที่เป็นแบบต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการ อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านเศรษฐกิจทำงานไม่ลงรอยกัน
2. รัฐบาลสร้างปัญหาที่เกิดจากรัฐบาลเอง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และมุ่งแก้รัฐธรรมนูญ
3. รัฐบาลท้าตีท้าต่อย โดยเฉพาะกรณีตำหนินักวิชาการที่วิจารณ์รัฐบาล ขณะที่นายกรัฐมนตรีเองตำหนิโพลสำนักต่างๆ รวมถึงการตำหนิสื่อมวลชน ทะเลาะกับนักข่าวโดยใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม
4. รัฐบาลปล่อยข่าวทำลายทำร้ายผู้อื่น เช่นกรณี นายกรัฐมนตรีปล่อยข่าวเรื่องปฏิวัติ พูดถึงการที่ธนาคารจะเจ๊ง และพูดถึงคนหัวเถิก แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ
5. รัฐบาลมีพฤติกรรมลื่นไหลไปเรื่อย โดยเฉพาะเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนคำพูดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถูกกดดันจากเจ้าของพรรคตัวจริง ขณะที่การประชุม
6 พรรคร่วมรัฐบาลที่มีข่าวว่าจะหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ในที่สุดกลับออกมาบอกว่าไม่ได้หารือเรื่องดังกล่าว และขอให้เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการ และการแก้ไขปัญหาข้าวที่ลื่นไหลเปลี่ยนแนวทางไปมา 
 

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ไม่ได้ติเรือทั้งโกลน

 
แต่เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้สร้างผลงานที่น่าพอใจของประชาชน และมีพฤติกรรมติดกับดักของตัวเองที่สร้างขึ้นมา จนก่อให้เกิดปัญหามากมาย อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลพยายามออกจากกับดัก จะมีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถบริหารประเทศได้มากกว่าแก้ปัญหาภายในรัฐบาล หรือพรรคร่วมรัฐบาล หากรัฐบาลมีจิตใจเปิดกว้างรับฟังเสียงวิจารณ์ หาทางออกจากกับดักของตนเอง เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หลายเรื่อง

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์