โฆษก ปชป.ชี้ 3 ปัจจัย แม้ว ตระบัดสัตย์ - ยัน ม.148 ไม่คุ้มครอง กกต.

โฆษก ปชป.ชี้ 3 ปัจจัย แม้ว ตระบัดสัตย์ - ยัน ม.148 ไม่คุ้มครอง กกต.

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2549 14:08 น.

ประชาธิปปัตย์ ซัด แม้ว ตระบัดสัตย์กลับมาทำงาน ชี้ 3 ปัจจัยหวนคืนเก้าอี้นายกฯ สร้างความนิยมทางการเมือง-ขวางการตรวจสอบ-อนุมัติโครงการแอบแฝงผลประโยชน์ หวั่น ทรท.ป่วนคลื่นใต้น้ำอ้างคะแนนเสียงสร้างเงื่อนไขทำบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ย้ำหากคำสั่งมาจากศาลมาตรา 148 คุ้มครอง กกต.ไม่ได้ จี้อย่าซื้อเวลาเร่งสรุปผลสอบอนุฯเอาผิดพรรคใหญ่ พร้อมร่วมแสดงความเสียใจครอบครัวอดีต ส.ส.ราชบุรี

วันนี้ (28 พ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ตระบัดสัตย์กลับเข้ามาทำงานอีกครั้งโดยอ้างว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะปัญหาต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่สร้างปัญหาและปล่อยให้มีการหมักหมมอยู่ พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการกลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้งมี 3 ประการ คือ 1.เพื่อใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีนำงบประมาณไปสร้างความนิยมทางการเมือง หวังผลชัยชนะในการเลือกตั้งแล้วกลับเข้ามารักษาอำนาจเต็มตัวอีกครั้งหนึ่ง 2.เพื่อต้านทานการตรวจสอบอย่างจริงจังขององค์กรต่างๆ และ 3.เพื่อปรับเปลี่ยนอนุมัติโครงการใหญ่ๆ โดยมีผลประโยชน์แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่มาก

นายองอาจ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้ดูเหมือนจะสงบ แต่กลับมีคลื่นใต้น้ำจากฝ่ายต่างๆ ที่ปล่อยออกมาปะทะกันจำนวนมาก เกรงว่าถ้าปล่อยไปจะทำให้เกิดความรุนแรง เกิดการเผชิญหน้ากันได้ถือว่าไม่น่าไว้วางใจ เช่น มีการบอกว่าถ้ายุบพรรคไทยรักไทย บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ จะมีสมาชิกพรรคออกมาต่อต้านจำนวนมาก ตรงนี้เป็นการสร้างเงื่อนไขกดดันให้เกิดความรุนแรงในอนาคต พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ ยุติการสร้างเงื่อนไขทางกฎหมายและกระแสกดดันต่างๆ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาต่อประเทศชาติ

เมื่อถามถึงเอกสิทธิ์คุ้มครอง กกต.ตามมาตรา 148 หากมีการออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งอย่างไร นายองอาจ กล่าวว่า มาตรานี้ไม่น่าจะครอบคลุมการทำงานของศาลแต่น่าจะคุ้มครองในชั้นของพนักงานสอบสวนเท่านั้น ดังนั้น การวินิจฉัยของศาลที่เกี่ยวข้องกับ กกต.น่าจะทำได้อย่างอิสระ และไม่น่าจะต้องไปตีความให้เกิดความชัดเจนอีก ส่วนตัวมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสร้างความเคลือบแคลงต่อการทำหน้าที่ของศาล ถือเป็นคลื่นใต้น้ำที่ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ซึ่งในระหว่างการสอบสวนศาลอาญามีอำนาจในการเชิญ กกต.มาสอบสวนได้ เพราะอำนาจศาลไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับมาตรา 148 ดังนั้น การพิจารณาคดีอาญาของ กกต.จึงไม่ถือว่าเข้าข่าย

ส่วน นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า นับวันพฤติกรรมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กตต.ยิ่งดื้อดึงเพิ่มความเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบของสังคมและประเทศชาติ โดยเฉพาะเหตุการณ์การรื้อเต็นท์ผู้อยู่ตรงข้าม กกต.แทนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ กกต.จะช่วยบรรเทาเหตุการณ์แต่กลับมีพฤติกรรมคล้ายจะสนับสนุนให้เกิดการกระทำในสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น ขอเรียกร้องให้ กกต.ดำเนินตามกระแสแนะนำของศาลที่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบ

ที่สำคัญดูเหมือนว่า กกต.จะร่วมมือกับรักษาการประธานวุฒิสภา และพรรคไทยรักไทยในการสร้างเงื่อนไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์นับหนึ่งในการให้มี กกต.ชุดใหม่ตามที่ศาลเรียกร้อง โดยรักษาการประธานวุฒิสภาดึงดันที่จะสร้าง 2 มาตรฐาน คือ เดินหน้าสรรหา กกต.แทนตำแหน่งที่ว่างลง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

นายสาธิต กล่าวว่า นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้ กกต.รับผลสอบของคณะอนุกรรมการกรณีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งไปดำเนินการตามกฎหมาย เพราะสิ่งที่อนุกรรมการดำเนินการสรุปผลโดยไม่มีการเรียกคู่กรณีมาให้ปากคำก็ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคณะกรรมการ หาก กกต.เห็นว่าควรจะเรียกใครมาสอบเพิ่มก็สามารถดำเนินการได้

นอกจากนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังได้กล่าวขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของนางกอบกุล นพอมรบดี อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคไทยรักไทย ที่ถูกลอบยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ถึงแก่ชีวิต ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือว่าอุกอาจมาก จึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดีให้ได้

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนกรณีกกต. 3 คนยังไม่ยอมรับผิดชอบโดยการลาออกตามที่สังคมต้องการนั้น เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าเป็นกระบวนการยื้อเวลาของกกต. ที่ต้องการยื้อชีวิตพรรคไทยรักไทยออกไปหลังจากถูกคณะอนุกรรมการสอบสวนพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งสรุปว่าพรรคไทยรักไทยมีความผิด ตามกฎหมายต้องยุบพรรค เห็นได้จากรักษาการประธานวุฒิสภาเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกบุคคลมาเป็นกกต.2คน สอดรับกับกรณีที่กกต.และพรรคไทยรักไทย กดดันให้เปลี่ยนแปลงอนุกรรมการชุดนี้ แต่นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะอนุกรรมการยืนยันไม่ลาออก กกต.เกรงว่าถ้าเปลี่ยนแปลงอนุกรรมการชุดนี้ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่ามีเหตุผลอะไรถึงต้องเปลี่ยน จึงใช้วิธีกดดันบีบให้ลาออกโดยสร้างเงื่อนไหวให้คณะอนุกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม ดังนั้นขอให้สังคมให้กำลังใจนายนาม ทำหน้าทึ่ต่อไป

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์