นายนพรุฒกล่าวว่า การจาบจ้วงสถาบันฯในเรื่องแรกก็คือ
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในวันดังกล่าวเป็นวันสวนสนามและกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณของสี่เหล่าทัพ ปกติจะต้องถือเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติ ละเว้นไม่ได้ของข้าราชการตำรวจระดับสูง เช่น ผบ.ตร.ที่ต้องเดินทางไปถวายการอารักขา รวมทั้งต้องร่วมการถวายสัตย์ฯด้วย แต่ในวันดังกล่าวปรากฏว่าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กลับเดินทางไปร่วมงานของชมรมสุขสวัสดิ์ 14 เพื่อร่วมงานเปิดสถานบริการนวดเพื่อสุขภาพ ชื่อว่า "มายแคร์" ที่ย่านพระราม 2 ภายหลังยังมีการนำภาพการไปร่วมงานดังกล่าวไปตีพิมพ์ไว้ในวารสารหยดน้ำที่ตนได้นำมาใช้ประกอบเป็นหลักฐานด้วย
นายนพรุฒกล่าวต่อว่า
ส่วนเรื่องที่ 2 คือเรื่องที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ขึ้นไปกล่าวในที่ประชุมงานพัฒนาข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุมกองบัญชาการสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการถ่ายวิดีโอบันทึกภาพและเสียงไว้ตลอดด้วย เบื้องต้นจากการตรวจสอบเทปบันทึกในช่วงหนึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้กล่าวถึงปัญหาการป้องกันอาชญากรรมและปัญหาการจราจร ซึ่งการพูดในบางตอนมีลักษณะที่พาดพิงและจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูง
"ส่วนตัวแล้วผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอดีตผบ.ตร. เป็นนายตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่แล้ว จะกล้ากล่าวพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงไปในแบบนี้ได้ และคิดว่าเรื่องนี้ตำรวจทุกนายที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวคงสามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นผมจึงอยากจะให้พนักงานสอบสวนของกองปราบปราม ช่วยตรวจสอบหาความผิด และถ้าพบขอให้ดำเนินคดีต่อไปด้วย" นายนพรุฒกล่าว
ด้านพ.ต.อ.สมยศเบื้องต้นได้สั่งการให้พ.ต.อ.สมยศ ร่มสน พงส.(สบ.3) กองปราบปราม ทำการสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงกันต่อไป
วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์เดินทางเข้ายื่นหนังสือ
โดยเป็นเอกสารจำนวน 10 ชุด ถึงคณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อให้ไต่สวนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีนายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการป.ป.ช.เป็นผู้รับหนังสือ จากนั้นพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์กล่าวว่า ยื่นคำร้องถึงป.ป.ช.ให้ไต่สวนนายสมัครกระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 275, 276 โดยเอกสารที่นำมายื่นเป็นการสรุปข้อเท็จจริงที่นายกฯมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จนถึงการสั่งให้ออกจากราชการ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะขั้นตอนในการกล่าวโทษข้าราชการว่ากระทำผิดวินัยตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จะต้องทำการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน หรือหากไม่สอบสวนข้อเท็จจริงจะต้องพิจารณาในเบื้องต้นว่ามีมูลที่กระทำความผิดทางวินัยหรือไม่ แต่นายกฯใช้วิธีพิจารณาในเบื้องต้นโดยไม่สอบสวนข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่าคณะกรรมการสอบวินัยแรงร้ายมีการสอบกรณีที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการอารักขาและดูแลความเรียบร้อยเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า
ไม่อยากให้นำเรื่องของตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน เช่น กรณีที่ตนไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฯ เนื่องจากไปทำภารกิจส่วนตัว โดยมีการอ้างว่าตนไม่ไปถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่เสด็จฯออกจากโรงพยาบาล ซึ่งนายกฯพยายามหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเป็นต้น ขอยืนยันว่าตนได้ไปอำนวยการวางแผนอารักขาตลอด จากนั้นได้กลับมาทำงานตามปกติ แต่ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงคือผบช.น ดังนั้นจะหาว่าตนไม่ไปได้อย่างไร
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
