เด็กเก่า ทรท.ร่วมแฉ ปฏิญญาฯ ก่อ มาเฟียการเมือง พาชาติล่ม

เด็กเก่า ทรท.ร่วมแฉ ปฏิญญาฯ ก่อ มาเฟียการเมือง พาชาติล่ม

นายอมร อมรรัตนานนท์

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤษภาคม 2549 18:40 น.

เด็กเก่าไทยรักไทย ร่วมแฉอีก ยืนยัน ทรท.เดินตามแนว ปฏิญญาฟินแลนด์ จริง ตลอด 5 ปี ระบุ หลักการดี แต่ในทางปฏิบัติล้วนเป็นไปเพื่อพวกพ้อง และคนใกล้ชิด ทักษิณ ทั้งกรณีปฏิรูปราชการ สร้างระบบการเมืองพรรคเดียว ทุนนิยมเต็มรูปแบบ เตือนหากยังไม่หยุด ระบบราชการจะตกอยู่ใต้อิทธิพลมาเฟียการเมือง นำประเทศชาติล่มจมแน่

นายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตเลขาธิการเครือข่ายเดือนตุลา และอดีตรองเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร กล่าวในรายการ คนในข่าว ออกอากาศทาง ASTV เมื่อคืนวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา กรณีการตั้งปฏิญญาฟินแลนด์ ว่า ในฐานะที่ตนมีส่วนร่วมในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย พบว่า แนวทางการตั้งพรรคตั้งแต่ราวปี 2540 - 2541 เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการของปฏิญญาฟินแลนด์ ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ เพียงแต่ว่า ในตอนนั้น ตนยังไม่ได้ยินคำว่า ฟินแลนด์ และเพิ่งได้ยินคำนี้ หลังจากออกมาจากพรรคไทยรักไทยแล้ว

ทั้งนี้ ปฏิญญาฟินแลนด์ ที่กลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานทางการเมืองนั้น มีหลักการสำคัญโดยสรุป 5 ข้อ คือ ทำพรรคการเมืองที่มีการนำแบบรวมศูนย์และเป็นพรรคของมวลชน ทำการเมืองให้เป็นระบบพรรคเดียว ให้ระบอบเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมเสรีเต็มรูปแบบ ลดทอนความเข้มแข็งของระบอบราชการเดิมด้วยการปฏิรูประบบราชการ และให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงสัญลักษณ์

นายอมร กล่าวว่า หลักการของปฏิญญาฟินแลนด์ 4 ข้อแรกนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต่างจากการทำพรรคการเมืองทั่วไป และถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่จะตั้งพรรคการเมืองที่เป็นของมวลชน และดำเนินงานทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ แต่ที่ผ่านมา 5 ปีนั้น ตนเห็นว่า พรรคไทยรักไทยไม่ได้ทำเพื่อมวลชน แต่ทำไปเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของคนไม่กี่กลุ่ม ทำให้ตนรู้สึกเจ็บปวดและต้องลาออกมา

นายอมร กล่าวต่อว่า อย่างการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งเดิมเป็นระบบที่ใหญ่เทอะทะ และแปลกแยกจากประชาชน หลังการปฏิรูป เราอยากเห็นมันกะทัดรัด บริการด้วยความฉับไว รับใช้ประชาชน แต่พอปฏิรูปจริงๆ เรารู้สึกผิดหวัง การเป็นพรรคของมวลชนเราก็อยากเห็นการยกระดับชีวิตเกษตรกรระดับล่างให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ แต่พอทำจริงๆ มันไม่เป็นไปตามที่วางแนวทางไว้

การทำให้พรรคเป็นของมวลชน มันเป็นเรื่องดี แต่ 5 ปีที่ผ่านมา มันไม่ได้ทำตามนั้นเลย มันบิดเบี้ยวไป เพราะว่ากลุ่มทุนที่เข้ามาตั้งพรรค เป็นกลุ่มที่ทำงานการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

นายอมร กล่าวต่อว่า การมุ่งที่จะเป็นพรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว กลับเป็นการซื้อกลุ่มการเมืองต่างๆ เข้ามาร่วม หรือใช้คดีที่เป็นชนักติดหลังนักการเมืองบางคน ทำการแบล็กเมล์บีบบังคับให้เข้าร่วม เท่ากับว่า การได้มาซึ่ง ส.ส.จำนวนมาก เพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เป็นการได้มาโดยไม่ชอบธรรม

หลังจากนั้น เมื่อได้อำนาจมา ที่ตนเห็น 4 ปี แนวทางที่ทำไม่ได้เป็นไปเพื่อคนส่วนใหญ่ การปฏิรูประบบราชการ กลายเป็นว่า เป็นการวางคนในกลุ่มของตัวเอง หรือคนใกล้ชิดกับตัวเองให้เติบโต ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมมองเห็นหมด

การรื้อระบบราชการ ไม่ได้ไปรื้อที่จิตสำนึก ไม่เห็นกระบวนการใส่จิตสำนึกเข้าไปในระบบราชการ มีแต่ว่า ต้องให้ข้าราชการ เกรงกลัวอำนาจการเมือง แล้ววิ่งมาหานักการเมืองเท่านั้น นายอมร กล่าว และว่า ส่วนการย่อยกระทรวงออกเป็นหลายๆ กระทรวง ก็เป็นการแบ่งงบประมาณ เพื่อกินตามกระทรวง จากเดิมที่เป็นการกินตามกรม

ส่วนการปรับระบบเศรษฐกิจให้เป็นทุนนิยมเสรีเต็มรูปแบบ กลับไม่เสรีจริง เพราะปรากฏว่า กลุ่มทุนไหนที่ไม่ใกล้ชิด หรือเป็นพวกกับไทยรักไทย ก็เจ็บปวด ได้รับผลกระทบจากรัฐบาลชุดนี้

ในการพัฒนาภาคเกษตรก็เช่นกัน ถ้าจะพัฒนาโดยตั้งใจจริง จะต้องเคารพการตัดสินใจของเกษตรกร ให้เขาคิดเองทำเอง ซึ่งเรื่องนี้ ตนเคยมีบทบาทโดยตรง จากการที่ได้เข้าไปบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งกองทุนนี้จัดตั้งขึ้นโดยมีพระราชบัญญัติรองรับเมื่อปี 2542 มีปรัชญาที่ต้องการให้เกษตรกรรวมตัวทำกิจกรรมร่วมกัน มาจัดการการผลิต แปรรูปผลผลิต และทำการตลาดร่วมกัน โดยมีรัฐทำหน้าที่เป็นแค่พี่เลี้ยง

แต่พอผมเข้าไปอยู่ คำก็จะยุบ สองคำก็จะยุบ เพราะว่าแนวทางของพรรคไทยรักไทย ต้องการจะยกระดับการเกษตร ให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรม เรากำลังจะเห็นคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ที่เกษตรกรเป็นแค่ลูกจ้าง ที่ดินจะถูกว้านซื้อโดยนายทุนภาคการเกษตร ซึ่งเราเห็นอยู่ว่านายทุนยักษ์ใหญ่ภาคการเกษตรที่อยู่ข้างหลัง คือใคร จุดนี้เองผมรับไม่ได้ กองทุนฯ ที่มีกฎหมายรองรับ คุณไม่ขับเคลื่อน คุณไปขับเคลื่อนตามแนวทางของพรรค และบอนไซกองทุนฯ แต่พอถึงวันที่สถานการณ์คุณเพลี่ยงพล้ำ คุณค่อยลงไปประชุมร่วมกับเขา นายกฯ ค่อยลงไปหาเขา ไปเอาเกษตรกรเป็นพวก

นายอมร กล่าวถึงนโยบายกองทุนหมู่บ้าน หรือ SML ว่า โดยหลักการเป็นเรื่องที่ดี ที่จะกระจายอำนาจให้ประชาชนรู้จักบริหารเงินเอง แต่พอพรรคไทยรักไทยเอามาทำ แทนที่จะเอาองค์กรชาวบ้าน นักพัฒนาเอกชน หรือปราชญ์ชาวบ้าน เข้ามานั่งเรียนรู้การตัดสินใจเอง แต่เขากลับไปเอานายอำเภอ เอาพัฒนากร มานั่งประชุมกองทุนหมู่บ้าน แล้วชาวบ้านก็รอทำตามคำสั่งอย่างเดียว

นายอมร อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่พรรคไทยรักไทยยกเอาปฏิญญาฟินแลนด์มาเป็นแนวทาง ก็เพื่อหลอกให้ฝ่ายซ้ายที่มีฐานมวลชนอยู่ในชนบท และยังหลงใหลในทฤษฎีปฏิวัติสังคมแบบตื้นๆ เข้ามาร่วม โดยคนกลุ่มนี้ยังปักใจเชื่อทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงสังคม ว่า เริ่มจากสังคมบรรพกาล เปลี่ยนไปสู่สังคมทาส ศักดินา ทุนนิยม และสังคมนิยม ตามลำดับ ซึ่งในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของทุนนิยม แต่ยังไม่ใช่ทุนนิยมเต็มรูปแบบ เพราะฉะนั้นจะต้องเร่งให้เป็นทุนนิยมเต็มรูปแบบ เพื่อรอการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนิยมต่อไป

เป็นการเอาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มาอธิบายแบบตายด้าน อ้างว่า ต้องสนับสนุนทุนใหม่ขึ้นมาทำลายทุนเก่า ซึ่งเป็นทุนรักชาติ แต่ที่จริงแล้วเป็นทุนเพื่อตัวเองมากกว่า

นายอมร กล่าวอีกว่า หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาขับไล่ ทำให้สูญเสียแรงสนับสนุนจากองค์กรภาคประชาชน เอ็นจีโอ และปราชญ์ชาวบ้านไปมาก ขณะนี้ กลุ่มที่ถือว่าเป็นฝ่ายก้าวหน้าที่เหลืออยู่ก็จะมีแต่คนที่เคยเข้าป่า หรือ มิตรสหายที่ขณะนี้ยังทำงานในชนบท ซึ่งตนได้พูดคุยกับคนเหล่านั้น และได้บอกถึงการเคลื่อนไหวของพรรคไทยรักไทยที่เพลี่ยงพล้ำ แต่เขาก็บอกว่า ยังมีภารกิจที่จะต้องสนับสนุนพรรคไทยรักไทยต่อไป

เขาบอกผมว่า ที่มาทำงานให้พรรคไทยรักไทย ไม่ใช่ไม่มีเป้าหมาย แต่เขาทำโดยมีแนวคิด มียุทธศาสตร์ พรรคไทยรักไทยเกิดมาบนรอยต่อของสังคม ที่ต้องมีพรรคการเมืองสักพรรคหนึ่ง ที่เข้ามาจัดการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพอผมเข้ามา ผมรู้ว่า ที่พูดมามันเป็นแค่กุศโลบาย พรรคไทยรักไทยก็ไม่ต่างจากพรรคการเมืองพรรคอื่นๆ

นายอมร ยืนยันว่า แนวทางของปฏิญญาฟินแลนด์ เกิดขึ้นจริงในการดำเนินงานพรรคไทยรักไทย 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้ายังเดินหน้าต่อไปอย่างนั้น ประเทศชาติจะล่มจม กลไกราชการจะถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของมาเฟียทางการเมือง เพราะภาพสะท้อนมันมองเห็น วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปไหน ข้าราชการทุกคนต้องค้อมหัวรับ ตรงนี้มันส่งผลสะเทือนการพัฒนา ประชาชนจะเป็นแค่เครื่องมือค้ำบัลลังก์ของระบบเผด็จการรวมศูนย์ในเสื้อคลุมประชาธิปไตย และกำลังทำให้ความหมายของพรรคเพื่อมวลชนซึ่งเดิมถือเป็นเรื่องที่ดี กลับกลายเป็นสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์