นายสมัครกล่าวต่อว่าเริ่มรับตำแหน่ง และทำงานเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ยังไม่เต็ม 2 เดือนเลย
คอลัมน์ แวดวงรอบกรุง ก็ได้เขียนถึง จากนั้นนายสมัครก็อ่านรายละเอียดของเนื้อหาที่กล่าวพาดพิงถึงรัฐมนตรีหลายคนและหน้าห้องของนายกรัฐมนตรีถึงการทำงานว่ามีพฤติกรรมส่อทุจริต พร้อมกับกล่าวว่า เอาเถอะกรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็จะได้ชี้แจงเอง
“แต่กรณีนายกรัฐมนตรีสมัครทำได้ อย่างไร ผมบอกเลยว่าภายใน 3 วัน หนังสือพิมพ์ขอไม่ออกชื่อ ฉบับที่เขียนอย่างนี้ ไม่ส่งเอกสารการที่ไปเรียกร้องทุจริตให้ผม ผมจะถือว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เสนอความเท็จ เอาความเท็จสาดใส่คนอื่น เห็นแก่ได้ ตามใจชอบ แต่ก่อนคุณเขียนไป คนที่ถูกเขียนถึงก็เสียหาย แต่คนเขียนถึงคือผม ผมไม่ยอม คุณว่ามาอย่างนี้ ต้องบอกเลยว่า ภายใน 3 วัน ผมจะรอ ขอให้ส่งให้ที่ทำเนียบรัฐบาล เอาหลักฐานที่ระบุว่าหน้าห้องตนไปรีดไถใครมา เอามาเลย ทำงานกันไม่ทันจะ 2 เดือน งานบ้าบอคอแตกยังไม่ทันจะทำ งบประมาณยังทำอะไรไม่ได้ ยังดำเนินการ ไม่ได้ กล่าวหามาแล้ว ไหวหรือ แถมยังเขียนหนังสือวกวน เขียนเอง เออเอง สำนวนการเขียนก็ใช้ไม่ได้ หากคนอ่าน ไม่มีวิจารณญาณ อ่านไปจะทำอย่างไร” นายสมัครกล่าว
นายสมัครกล่าวถึงความทุกข์ของความเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ว่า เข้ามานั่งในตำแหน่งยังไม่ถึง 2 เดือน
แต่ตำแหน่งนายกฯ ซึ่งใครๆ ก็บอกว่าเป็นบุคคลสาธารณะ ใครจะด่าว่ากล่าวหรือโจมตีอะไรก็ได้ แต่สำหรับตนนั้น ไม่ได้ทุกอย่างหรอก หรือแม้กระทั่งการรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่ต้องใช้เข้มงวด เพราะตนต้องการไปเดินตลาดซื้อกับข้าว ไปต่างจังหวัดซึ่งต้องไปคนเดียว แต่ก็ถูกห้ามว่าไม่ได้ ก็ขอบคุณที่ รปภ.คุมอยู่ข้างนอก ไม่ตามไปด้วย หากต้องตามไปถ่ายอุจจาระด้วยจะทำอย่างไร เป็นความทุกข์ที่มีการ รปภ.กันอย่างเกินเหตุเหมือนเป็นเกียรติยศต้องเอามาแบกใส่บ่านายกฯไว้ โดยไม่มีอิสรเสรีภาพ แต่ตนเป็นนายกฯที่ต้องการอิสรเสรีภาพ ความปลอดภัย หรือใครๆก็กลัวตาย แต่ถูกกำหนดไว้ รวมถึงการพูดจาหรือแสดงความคิดเห็นอย่างที่ต้องการก็ทำไม่ได้ ตนเป็นคนช่างพูดช่างคิด บางทีแม้แต่คิดยังไม่ให้คิด ยิ่งพูดยิ่งไม่ได้ มีกรอบมาใส่เลย
“ผมเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ บางครั้งก็พลาดพลั้งไปบ้างก็ต้องให้อภัยผมบ้าง ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ไปบ้านเมืองนี้ ก็อยากรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองเขา พอไปฟังความเสร็จก็พูดไม่ได้ ต้องเก็บไว้ เล่าไม่ได้ เพราะในโลกนี้มีคุณพ่ออยู่หลายคน แบ่งกันหลายค่าย แต่ก่อนนี้มีค่ายคอมมิวนิสต์ มีค่ายประชาธิปไตย แต่ ปัจจุบันนี้มีค่ายนายทุน แล้วคนมหาอำนาจคิดอย่างไร ประเทศเล็กๆอย่างเราต้องคิดตามด้วย นี่แหละทุกข์ใจของนายกฯหน้าใหม่ที่เกิดมาไม่เคยรู้อย่างนี้ คำว่าเหตุผลบางครั้งต้องเอาออกจากพจนานุกรม ต้องทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล คำว่าจริงใจ เห็นใจ ใช้ไม่ได้ อย่างนี้จะคบค้าสมาคมกันอย่างไร ผมต้องบ่น แต่จะไม่ให้กระเทือนคนที่รับผิดชอบอยู่ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเลย แต่สัญชาตญาณของคนต้องวิจารณ์ อย่างเว็บไซต์กูเกิ้ลเอาคำที่ผมพูดเผยแพร่ ไปทั่วโลก และคอยจ้องว่าลูกพี่ว่าอย่างไร เราก็ต้องว่าอย่างนั้นด้วย อะไรกันนักหนา เป็นสิ่งที่ชอบกล อีกทั้งไม่สามารถอธิบายมูลเหตุปัญหา ต้องบ่น ไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็นศตวรรษ เพราะเป็นอย่างนี้มา 50 ปีแล้ว” นายสมัครกล่าว
นายสมัครยังกล่าวด้วยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศที่รักอิสรเสรีภาพเหนือสิ่งใด แต่มาเอาเท้ามาเหยียบคนอื่นไว้ให้คิดตามตัวเอง
ตนไม่ได้ออกชื่อ ออกประเทศ ไม่ได้บอกว่ากระทรวงไหน แต่มีสิทธิ์ต้องบ่นที่ว่าตนจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง และห้ามเดินนอกกรอบ เรื่องทุกข์ใจที่มีการว่ากล่าวกันอย่างไม่มีเหตุผลก็ยังพอแก้ไข ตอบโต้กันตรงนี้ได้ แต่เรื่องนี้ห้ามตอบโต้ แสดงความเห็นไม่ได้ ต้องอยู่ในกรอบว่าหากนายกฯไทยพูดอย่างไรนโยบายจะเป็นอย่างนั้น นี่มันบ้า ความเห็นส่วนตัวก็ไม่ได้อีก และตนจะเป็นนายกฯไม่ตลอดรอดฝั่งก็เพราะความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ และเป็นความทุกข์ในใจของตน