วานนี้ (21 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่เมืองทองธานี พรรคชาติไทย นำโดยนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคได้จัดประชุมใหญ่ประจำปี 2551
โดยมีแกนนำพรรคและสมาชิกพรรคได้เดินทางเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยและรองนายกฯ นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคและรมว.เกษตรฯนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคและรมว.การท่องเที่ยวฯ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รองหัวหน้าพรรคและรมช.คมนาคม นายจองชัย เที่ยงธรรม นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รมช.เกษตรฯ และนางสาวจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ โฆษกพรรค
ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการรับรองรายงานการประชุมใหญ่ พิจารณาการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองและรับรองงบการเงินประจำปี 2550
พร้อมทั้งแก้ไขข้อบังคับการประชุมโดยมีสาระสาคัญคือลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลงเหลือ 19 คน โดยนายบรรหาร ได้ปรารภว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินการของพรรคการเมือง อย่างเรื่องการลงคะแนนภายในพรรค ซึ่งแบบนี้ถือว่าเป็นการบั่นทอนทางการเมือง หรือจะทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ซึ่งตนเห็นด้วยที่ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังให้รัฐมนตรีของพรรคทุกคนได้แถลงผลการดำเนินงานที่ผ่านให้สมาชิกรับทราบ
นายบรรหาร ได้กล่าวปราศรัยกับสมาชิกพรรคว่า ตนอยู่พรรคชาติไทยมา 32 ปี
เป็นรองเลขาธิการพรรคอยู่ 3 ปี เลขาธิการพรรค 15 ปี และหัวหน้าพรรค 15 ปี พรรคชาติไทยดำรงอยู่ได้ด้วย สามัคคี ก้าวหน้า และมั่นคง ซึ่งตนอยู่พรรคชาติไทยก็พยายามทำให้พรรคเจริญก้าวหน้า มั่นคงอยู่ตลอด การเลือกตั้ง 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยมีการประชุมใหญ่เลย วันนี้จึงขอพูดว่าทำไมพรรคชาติไทยจึงร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนทั้งที่ก่อนหน้านี้ในการหาเสียงเลือกตั้งก็อยู่คนละฝ่าย แต่เนื่องจากหลังเลือกตั้งเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย พรรคชาติไทยซึ่งคิดว่าจะได้ถึง 50 กว่าที่นั่งได้แค่ 34 ที่นั่ง เมื่อตัวเลขออกมาอย่างนี้เราจะทำอย่างไร
เมื่อพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก หากเรายังจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ฝ่ายพวกเราก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้
เขาเล่นเกมการเมืองสูงจับกับพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคประชาราช พรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อรวมอย่างนี้ฝ่ายไหนก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ตนเรียนว่าการรักษาสัจจะต้องดูเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย ว่าจะไปรอดหรือไม่ ดังนั้นเมื่อพรรคพลังประชาชนทาบทามให้พรรคชาติไทยร่วมรัฐบาล ตนจึงตัดสินใจโดยพละการ แต่ก็ได้ถามสมาชิกทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยมีมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ตนเจ็บมาพอสมควร ถูกต่อว่าก็เยอะ ชมเชยก็มี แต่ต้องนึกถึงประชาชนไว้ก่อน
“ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าถ้าพรรคชาติไทยมาร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนจะถูกใบแดง และอาจยุบพรรค ผมไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ชัยนาทถูกใบแดง และอาจถึงขั้นถูกยุบพรรค ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนนี้เหตุการณ์ใกล้เคียงแล้ว ผมไม่ได้บอกว่ามีใบสั่งจากผู้ใหญ่ให้ยุบพรรคหรือไม่ แต่ที่นายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ออกมาพูด ความจริงๆท่านไม่ควรพูดที่บอกว่ามาตรา 237 (2)ของรัฐธรรมนูญปี 2550 กับม.103 (2)ของพ.ร.บ.พรรคการเมืองใช้คำพูดว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบ เรื่องนี้ก็ต้องดูด้วยว่าพรรคยับยั้งหรือไม่ ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย ผมขอตำหนินายสุเมธ ไม่น่าพูดอย่างนี้เป็นการชี้นำแล้วบอกว่ากกต.ส่วนใหญ่เห็นด้วย ทั้งที่เรื่องยังอยู่ที่ที่ปรึกษา ซึ่งโดยมารยาทแล้วคนพูดเรื่องนี้ต้องเป็นประธานกกต."
"อย่างการประชุมพรรคเราก็บอกแล้วเราห้ามแล้ว มีการเซ็นรับรองด้วย ปราศรัยทุกทีเราก็บอกหมด นี่เป็นความคิดที่ผมให้การไป แล้วท่านกลับบอกว่าให้แปลกฎหมายด้วย ผมว่าแบบนี้มันไม่ถูก นี่คือที่มาที่ไปขอให้ใจเย็น ระยะทางยังอีกยาวไกลต้องสู้ต่อไป ผมอยู่การเมืองมา 30 ปี ฝนห่าใหญ่ก็เจอมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้เจอฝนห่าอะไร ผมตอบไม่ได้ว่าสู้กับอะไร แต่ไม่เชื่อว่าจะมีใบสั่งจากผู้ใหญ่มา ที่บอกว่าพรรคการเมืองจะเหลือพรรคเดียวแบบนี้บ้านเมืองจะวิปริต แล้วประเทศชาติจะเดินไปได้อย่างไร ผมพูดแบบนี้ผมไม่กลัวใคร เพราะตอนนี้อายุ 57 แล้ว” นายบรรหาร กล่าว
นายบรรหาร กล่าวต่อว่า ถ้ายุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่คงไม่ไหวแล้ว
เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของพรรคชาติไทยจะผิดจะถูกตนขอรับผิดชอบคนเดียว อย่าเห็นว่าถ้าหากไม่มีรัฐบาลนี้ปัญหาอีกหลายอย่างจะเกิดขึ้น เมื่อมันไปไม่ได้แล้วจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ยุบสภาแล้วเลือกตั้งกันใหม่อีก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ไหวแล้วต้องหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว อย่างน้อยก็เอาอย่างที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯว่าให้อยู่ให้ครบ 4 ปีก็แล้วกัน ดังนั้นขอฝากไปที่คนที่จะมายุบพรรคต้องให้ความเป็นธรรมไม่ใช่เอากฎหมายอย่างเดียว
โดยมีแกนนำพรรคและสมาชิกพรรคได้เดินทางเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยและรองนายกฯ นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคและรมว.เกษตรฯนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคและรมว.การท่องเที่ยวฯ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รองหัวหน้าพรรคและรมช.คมนาคม นายจองชัย เที่ยงธรรม นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รมช.เกษตรฯ และนางสาวจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ โฆษกพรรค
ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการรับรองรายงานการประชุมใหญ่ พิจารณาการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองและรับรองงบการเงินประจำปี 2550
พร้อมทั้งแก้ไขข้อบังคับการประชุมโดยมีสาระสาคัญคือลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลงเหลือ 19 คน โดยนายบรรหาร ได้ปรารภว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินการของพรรคการเมือง อย่างเรื่องการลงคะแนนภายในพรรค ซึ่งแบบนี้ถือว่าเป็นการบั่นทอนทางการเมือง หรือจะทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ซึ่งตนเห็นด้วยที่ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังให้รัฐมนตรีของพรรคทุกคนได้แถลงผลการดำเนินงานที่ผ่านให้สมาชิกรับทราบ
นายบรรหาร ได้กล่าวปราศรัยกับสมาชิกพรรคว่า ตนอยู่พรรคชาติไทยมา 32 ปี
เป็นรองเลขาธิการพรรคอยู่ 3 ปี เลขาธิการพรรค 15 ปี และหัวหน้าพรรค 15 ปี พรรคชาติไทยดำรงอยู่ได้ด้วย สามัคคี ก้าวหน้า และมั่นคง ซึ่งตนอยู่พรรคชาติไทยก็พยายามทำให้พรรคเจริญก้าวหน้า มั่นคงอยู่ตลอด การเลือกตั้ง 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยมีการประชุมใหญ่เลย วันนี้จึงขอพูดว่าทำไมพรรคชาติไทยจึงร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนทั้งที่ก่อนหน้านี้ในการหาเสียงเลือกตั้งก็อยู่คนละฝ่าย แต่เนื่องจากหลังเลือกตั้งเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย พรรคชาติไทยซึ่งคิดว่าจะได้ถึง 50 กว่าที่นั่งได้แค่ 34 ที่นั่ง เมื่อตัวเลขออกมาอย่างนี้เราจะทำอย่างไร
เมื่อพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก หากเรายังจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ฝ่ายพวกเราก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้
เขาเล่นเกมการเมืองสูงจับกับพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคประชาราช พรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อรวมอย่างนี้ฝ่ายไหนก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ตนเรียนว่าการรักษาสัจจะต้องดูเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย ว่าจะไปรอดหรือไม่ ดังนั้นเมื่อพรรคพลังประชาชนทาบทามให้พรรคชาติไทยร่วมรัฐบาล ตนจึงตัดสินใจโดยพละการ แต่ก็ได้ถามสมาชิกทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยมีมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ตนเจ็บมาพอสมควร ถูกต่อว่าก็เยอะ ชมเชยก็มี แต่ต้องนึกถึงประชาชนไว้ก่อน
“ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าถ้าพรรคชาติไทยมาร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนจะถูกใบแดง และอาจยุบพรรค ผมไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ชัยนาทถูกใบแดง และอาจถึงขั้นถูกยุบพรรค ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนนี้เหตุการณ์ใกล้เคียงแล้ว ผมไม่ได้บอกว่ามีใบสั่งจากผู้ใหญ่ให้ยุบพรรคหรือไม่ แต่ที่นายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ออกมาพูด ความจริงๆท่านไม่ควรพูดที่บอกว่ามาตรา 237 (2)ของรัฐธรรมนูญปี 2550 กับม.103 (2)ของพ.ร.บ.พรรคการเมืองใช้คำพูดว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบ เรื่องนี้ก็ต้องดูด้วยว่าพรรคยับยั้งหรือไม่ ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย ผมขอตำหนินายสุเมธ ไม่น่าพูดอย่างนี้เป็นการชี้นำแล้วบอกว่ากกต.ส่วนใหญ่เห็นด้วย ทั้งที่เรื่องยังอยู่ที่ที่ปรึกษา ซึ่งโดยมารยาทแล้วคนพูดเรื่องนี้ต้องเป็นประธานกกต."
"อย่างการประชุมพรรคเราก็บอกแล้วเราห้ามแล้ว มีการเซ็นรับรองด้วย ปราศรัยทุกทีเราก็บอกหมด นี่เป็นความคิดที่ผมให้การไป แล้วท่านกลับบอกว่าให้แปลกฎหมายด้วย ผมว่าแบบนี้มันไม่ถูก นี่คือที่มาที่ไปขอให้ใจเย็น ระยะทางยังอีกยาวไกลต้องสู้ต่อไป ผมอยู่การเมืองมา 30 ปี ฝนห่าใหญ่ก็เจอมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้เจอฝนห่าอะไร ผมตอบไม่ได้ว่าสู้กับอะไร แต่ไม่เชื่อว่าจะมีใบสั่งจากผู้ใหญ่มา ที่บอกว่าพรรคการเมืองจะเหลือพรรคเดียวแบบนี้บ้านเมืองจะวิปริต แล้วประเทศชาติจะเดินไปได้อย่างไร ผมพูดแบบนี้ผมไม่กลัวใคร เพราะตอนนี้อายุ 57 แล้ว” นายบรรหาร กล่าว
นายบรรหาร กล่าวต่อว่า ถ้ายุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่คงไม่ไหวแล้ว
เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของพรรคชาติไทยจะผิดจะถูกตนขอรับผิดชอบคนเดียว อย่าเห็นว่าถ้าหากไม่มีรัฐบาลนี้ปัญหาอีกหลายอย่างจะเกิดขึ้น เมื่อมันไปไม่ได้แล้วจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ยุบสภาแล้วเลือกตั้งกันใหม่อีก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ไหวแล้วต้องหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว อย่างน้อยก็เอาอย่างที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯว่าให้อยู่ให้ครบ 4 ปีก็แล้วกัน ดังนั้นขอฝากไปที่คนที่จะมายุบพรรคต้องให้ความเป็นธรรมไม่ใช่เอากฎหมายอย่างเดียว
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
