พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีสำคัญที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอจะส่งสำนวนคดีการทุจริต ฮั้วประมูลกรณีการจัดงานมหกรรมภาพยนตร์ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์มเฟสติวัล ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้
สำหรับ ผลการสอบสวนเบื้องต้นและการร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอของสหรัฐอเมริกา นั้น พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวว่า
พบหลักฐานสำคัญในคดีนี้อยู่ในประเทศสหรัฐ การสอบปากคำพยานจะต้องใช้ช่องทางความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการสอบสวนอีกยาวนาน ขณะที่ดีเอสไอมีกรอบเวลาในการสอบสวนเพียง 30 วัน เนื่องจากผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เป็นข้าราชการระดับสูง ซึ่งอยู่ในอำนาจการสอบสวนของ ป.ป.ช. ดีเอสไอจึงจำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานเบื้องต้นเพื่อส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.รับไปดำเนินการและขยายผลต่อไป ทั้งความผิดในด้านการฮั้วประมูลและการทุจริตรับเงินสินบน
ส่วนคดีบริษัทเอกชนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกก จ.เชียงราย ที่ได้นำเครื่องจักรกลเข้าไปแผ้วถางในเขตป่าสงวน เพื่อปรับพื้นที่มาใช้ปลูกยางพารา นั้น พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวว่า ภายหลังการสอบสวนจนมีการออกหมายจับผู้ต้องหาบางรายไปแล้ว ล่าสุดคณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา และจะนำสำนวนคดีไปส่งให้พนักงานอัยการ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ เช่นกัน
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวอีกว่า
ดีเอสไอกำลังเร่งสรุปสำนวนคดีฉ้อโกงประชาชนให้นำเงินมาลงทุนในแชร์ลูกโซ่หลายรูปแบบ โดยในวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนคดีฉ้อโกงประชาชนกรณีแชร์ยางพารา ซึ่งผู้เสียหายกระจายตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ กทม. และพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา จึงนำสำนวนไปส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป