ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 19 ก.พ. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงการตอบโต้กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เรื่องเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ว่า จริงๆน่าเสียดาย เพราะต้องการพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด นายกฯ จึงเลือกที่จะเปลี่ยนบรรยากาศให้เป็นการถกเถียงกันเรื่องเหตุการณ์ 6 ต.ค. ประเด็นที่เป็นหัวใจที่นำเสนอคือเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวนายกฯ ที่มีหลักฐานและข้อมูลรองรับชัดเจน ที่ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าถ้าเราจะประคับประคองประชาธิปไตย แต่ไม่เชื่อเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ไม่เชื่อการเมืองภาคประชาชนก็จะเกิดปัญหาขึ้นอีก
ต่อข้อถามว่านายกฯ พยายามทำให้เห็นว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเด็กที่ไปอบรมผู้ใหญ่
นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เรื่องนี้เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น เพราะในเนื้อหาสาระทั้งหมด และเรื่องนโยบายนายกฯ ไม่ตอบอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าปี 2519-2520 ถือว่าเป็นยุคหนึ่งที่การทำงานของสื่อกระทบกระเทือนมาก มีการปิดหนังสือพิมพ์จำนวนมาก และกว่าจะเปิดหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับก็แสนยากเย็น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า บรรยากาศการอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็นไปด้วยดี
ฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรี ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอภิปรายอยู่ในกรอบกติกา ไม่ลุแก่ โทสะ โดยฝ่ายค้านได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชัดเจนในนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้หาเสียงไว้ เช่น การให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 เท่า การเรียนฟรี 12 ปี ที่ยังไม่มีความชัดเจนในนโยบาย รวมถึงเรื่องการแทรกแซงสื่อด้วย
ส่วนที่มีการนำเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 มาอภิปรายในที่ประชุมนั้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไประบุว่า มีคนตายแค่ 1 คน จากเหตุการณ์นี้
ทั้งที่สื่อมวลชนและคนทั้งประเทศรู้ดีว่ามีคนตายกี่สิบ กี่ร้อยคน เมื่อนายกฯ พูดไม่จริง ฝ่ายค้านก็ต้องทักท้วง นายกฯ ต้องพูดความจริง ไม่โกหก บิดเบือน ที่สำคัญคนที่ถูกไล่ล่าในเหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค. 2519 ก็มานั่งสลอนอยู่ในรัฐบาล ถ้าไม่รู้จักอายก็ช่วยไม่ได้