นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคมและรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อยุบพรรคชาติไทย ให้สัมภาษณ์ว่า
หลังการชี้แจงของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ก็ยังไม่ทราบว่าทางคณะกรรมการสอบสวนจะสรุปผลหรือเชิญไปชี้แจงอีกหรือไม่ ในการชี้แจงได้ยืนยันไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยประมวลเหตุการณ์ให้คณะกรรมการฯฟังว่า มีการร้องเรียนว่านายมณเฑียร สงฆ์ประชา อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชัยนาท ซื้อเสียงในช่วงการเลือกตั้งล่วงหน้า ในวันที่ 15 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมา และมีเจ้าหน้าที่ไปจับกุมแม่ค้ากุนเชียงรายหนึ่งในเขตอำเภอเมืองพร้อมเงินจำนวน 11,296 บาท รวมทั้งรายชื่อลูกค้าจำนวนหนึ่ง โดยคณะกรรมการสอบสวนระดับจังหวัดได้สอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้วว่าไม่มีมูล เพราะเงินและรายชื่อที่ได้ตัวแม่ค้าเองก็ยอมรับว่าเป็นชื่อของลูกค้าที่มาซื้อของ ประกอบกับตัวของนายมณเฑียรและนางมัณฑนา สงฆ์ประชา น้องสาวที่ลงสมัครทีมเดียวกัน ก็ได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองชัยนาท ที่เป็นพื้นที่ที่ถูกจับว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากคู่แข่ง
แต่เมื่อโดนใบแดงไปแล้วก็ถือว่าจบ
นายอนุรักษ์กล่าวต่อว่า เพราะสองพี่น้องเขาได้แบ่งพื้นที่หาเสียง โดยนายมณเฑียรจะรับผิดชอบพื้นที่เขต 2 เดิมคืออำเภอหันคา ที่เคยเป็นพื้นที่เก่าในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2544 และ 2548 นางมัณฑนาจะรับผิดชอบเขตอำเภอเมือง เพราะเลือกตั้งครั้งนี้มีเวลาหาเสียงไม่มากนัก น่าแปลกที่ทางจังหวัดระบุผลสอบไม่มีมูล แต่มาถึง กกต.กลางมีการสอบสวนเพิ่มและแจ้งข้อกล่าวหา โดยให้ใบแดงกับผู้สมัครทั้ง 2 คน เจ้าตัวโดยเฉพาะนายมณเฑียรและนางมัณฑนาก็ปฏิเสธไม่รู้ในเรื่องนี้มาตลอด คดีสำนวนการสอบสวนยังค้างอยู่ที่ สภ.เมืองชัยนาท ในส่วนใบแดงถือว่าจบ เพราะคำสั่งของ กกต. ถือว่าเป็นที่สุดแล้วเพราะใช้เพียงแค่เชื่อได้ว่าก็ออกใบแดงได้
แต่เรื่องยุบพรรคให้ยึดมั่นข้อเท็จจริง
นายอนุรักษ์กล่าวอีกว่า สำหรับการยุบพรรคโทษของการยุบพรรคจะเป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมือง อยากถามว่าหากจะยุบพรรคจริงเหตุใด กกต.จึงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนอีกหรือ ที่เขาตั้งขึ้นก็เพื่อสอบข้อเท็จจริง ที่นายมณเฑียรยังแคลงใจอยู่ เพราะเจ้าตัวปฏิเสธมาตลอด และหัวหน้าพรรคเองก็ยืนยันมาตลอดว่าได้เตือนผู้สมัครทุกครั้งในการปราศรัยหาเสียงในพื้นที่ หรือการปฐมนิเทศผู้สมัครของพรรค ตรงนี้จะชี้ให้เห็นว่าเราไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ หรือละเลยไม่ใส่ใจ กรรมการสอบสวนต้องสอบข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ต้องพิสูจน์ ตรงนี้ จนถึงขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน จึงไม่ขอ ลงลึกมาก แต่ยังมั่นใจว่าหัวหน้าพรรคไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือรู้เรื่อง และนายมณเฑียรเองก็ปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่รู้ เห็นในเรื่องนี้ จึงเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงนี้