โสภณเปิดโปงขบวนการปล้นชาติแปรรูปปตท.
"โสภณ สุภาพงษ์ เปิดโปงขบวนการปล้นชาติ หลังการแปรรูปน้ำมันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ปี 48 บริษัทน้ำมันฟันกำไรกว่า 202,020 ล้านบาท แนะรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศต้องมีจริยธรรม
(13พค.) เวลา 15.00 น.กลุ่มพันธมิตรประชาชนขอนแก่นเพื่อประชาธิปไตย จัดเสวนาในหัวข้อ ใครอยู่เบื้องหลังน้ำมันแพง โดยมี นายโสภณ สุภาพงษ์ รักษาการสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ เป็นวิทยากร ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องบรรยาย 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีแพทย์ กลุ่มข้าราชการ ภาคเอกชนและประชาชนสนใจร่วมรับฟังกว่า 100 คน
บรรยากาศการเสวนาในครั้งนี้ ก่อนที่นายโสภณ สุภาพงษ์ รักษาการส.ว.กทม.จะพูดถึงเรื่องน้ำมัน ได้มีการพูดถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ว่า ประกอบด้วย ปัจจัยภายในคือ จิตสำนึก ส่วนปัจจัยภายนอก คือสังคมแวดล้อม และกรรมเก่า ซึ่งได้มีการหยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นมาพูดคุย ซึ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องเสวนาเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ
สำหรับหลักจริยธรรมที่คนไทยต้องยึดถือ ประกอบด้วย ศาสนา พระมหากษัตริย์ และอธิปไตย โดยศาสนาบอกว่าอบายมุขเป็นสิ่งไม่ดี แต่รัฐบาลบอกว่าดี เพราะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น, รัฐบาลพูดประโยคที่ว่า เชื่อผมเหอะ ,ไม่รู้อย่าพูด เป็นประจำ จนทำให้คนเป็นทาส ซึ่งขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าเชื่อตถาคต นอกจากนี้ยังได้พูดถึง มาตรา 3 ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญที่สุด กล่าวว่า มาตรา 3 บัญญัติไว้ว่า อธิปไตยเป็นของปวงชน ในหลวงทรงใช้อธิปไตยผ่านศาล สภา และ ครม.ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เพื่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
"ผมมองว่า ปัจจุบัน ระบอบประชาธิปไตยได้ตกอยู่ในอำนาจของทรราชแล้ว โดยที่ผู้นำทรราชเป็นผู้ปกครอง โดยมีสภา และองค์กรอิสระบางองค์กรเป็นผู้ใต้ปกครอง ซึ่งที่ผ่านมา ผมเคยเตือนเขาหลายครั้งแล้วว่า อย่าเป็นทรราช และศรีธนญชัย อย่าปกครองแบบปกปิดและครอบครองประเทศ ผู้นำประเทศต้องไม่มีความคิดที่จะปกปิดและครอบครองประเทศ ไม่คิดที่จะมารับใช้ประชาชน อย่าเข้ามา เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ขาดจริยธรรมและจิตสำนึกที่ดี เอาเงินทองเข้ามาครอบงำความคิด จนเกิดการปล้นชาติในที่สุด" นายโสภณ กล่าว
**ปี 48 บริษัทน้ำมันทำกำไรกว่า 2 แสนล้านบาท
นายโสภณ กล่าวด้วยว่า สมบัติชาติที่น่าครอบครองของกลุ่มทรราชมากที่สุด ประกอบด้วย น้ำมัน ไฟฟ้า โทรคมนาคม และการบิน โดยในแต่ละปีบริษัทน้ำมันมีรายได้ปีละ 8 แสนล้านบาท ไฟฟ้าปีละ 3 แสนล้านบาท และโทรคมนาคมปีละ 2 แสนล้านบาท ซึ่งหากรวมตัวเลขทั้งหมดพบว่าจะได้มีเม็ดเงินไม่ต่ำกว่าปีละ 1.3 ล้านล้านบาท
ในปี 2545 ปตท.ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐวิสหากิจถูกแปรรูปเป็นบริษัทเข้าตลาดหุ้น โดยพบว่าปัจจุบันผู้ที่หุ้นร้อยละ 30 เป็นของประชาชน ส่วนอีกร้อยละ 70 ตกอยู่ในมือของรัฐบาล นักการเมือง ทุนสิงคโปร์ ที่มีไอ้โม่งไปตั้งบริษัทที่สิงคโปร์แต่เป็นคนไทย
"ปัญหาน้ำมันที่ทั่วโลกประสบปัญหา มีอยู่ 2 อย่าง นั่นคือการเก็งกำไร โดยน้ำมันดิบที่ขายอยู่ที่ตะวันออกกลางขายเพียง 3-4 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลล์ แต่ที่พุ่งเป็นบาร์เรลล์ละ 70 เหรียญนั้นเป็นเรื่องของการหาผลประโยชน์ของบริษัทข้ามชาติ แต่สิ่งที่ประเทศไทยประสบปัญหาแตกต่างไปจากประเทศอื่นนั่นคือ มีไอ้โม่งเอาเครื่องมือที่ใช้ดูแลประชาชน นั่นคือ ปตท.ไปขายให้กับต่างชาติ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และกำหนดนโยบายทุนพลังงาน (กำหนดราคา) ก็ไปเป็นกรรมการให้กับบริษัทน้ำมัน ซึ่งสามารถกำหนดราคาสูงขึ้นเพื่อทำกำไรให้กับพวกพ้อง ที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ประชาชนในระดับรากหญ้านั่นเอง" นายโสภณ กล่าว
หลังจากที่มีการแปรรูป ปตท.ทำให้บริษัทน้ำมันต่างๆ มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยในปี 45 มีกำไร 22,099 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีกำไรสูงสุดในรอบ 10 ปี ปี 46 ทำกไร 56,686 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 150% ปี 47 ทำกำไร 120,989 ล้านบาท และในปี 48 ทำกำไรทั้งสิ้น 202,020 ล้านบาท
"สาเหตุที่ทำให้บริษัทน้ำมันมีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นกรรมการของบริษัท โดยข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ว่า ผู้ที่เข้ามาเป็นกรรมการจะต้องทำกำไรให้กับบริษัท ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่เป็นกรรมการก็ต้องกำหนดราคาน้ำมันให้สูงมากขึ้นแต่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง" รักษาการ สว.กทม.กล่าว