เมื่อถามถึงความคืบหน้าการสอบสวนเพื่อยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและพรรคชาติไทย นายประพันธ์ตอบว่า
มอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ที่มีนายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธานพิจารณา คงต้องใช้เวลาเช่นกัน เนื่องจากคณะกรรมการต้องนำสำนวนให้ใบแดงเดิมมาดูก่อน รวมทั้งต้องดูว่ายังมีพยานต้องสอบปากคำเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ อาจต้องเชิญหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยและหัวหน้าพรรคชาติไทยมาสอบถาม ทั้งนี้เรื่องนี้คงยังไม่เสร็จภายในสัปดาห์นี้
เมื่อถามว่า หากมีการยุบพรรคชาติไทยและมัฌชิมาธิปไตยจริง จะส่งผลกระทบต่อรัฐมนตรีที่มาจาก 2 พรรคการเมืองหรือไม่นั้น
นายประพันธ์ตอบว่า ตามข้อกฎหมายแล้ว หากมีการยุบพรรคจริง คนที่เป็นสมาชิกพรรคจะสามารถไปสังกัดพรรคใหม่ ได้ภายใน 60 วัน แต่หากมีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งด้วย บุคคลนั้นก็จะขาดจากสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. และทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ตามกฎหมายแล้วต้องเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปีด้วย
เตรียมสอบ มฌ.-ชท.กรณียุบพรรค
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านพรรคการเมือง กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนเพื่อยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและพรรคชาติไทย ที่มีนายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธานว่า
ความจริงเรื่องนี้ กกต.เคยวินิจฉัยให้ใบแดงกรรมการบริหารพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาฯแล้ว ดังนั้น กระบวนการสอบสวนหาข้อเท็จจริงว่า ได้กระทำตามมาตรา 103 วรรค 2 ตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.หรือไม่นั้น จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก โดยกระบวนการนั้นก็ต้องสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหา แต่เรื่องนี้คิดว่าไม่น่าจะมีเป็นปัญหา เนื่องจากก่อนหน้านี้คณะกรรมการพรรคการเมืองและประชามติได้ลงมติแล้วว่า การกระทำของกรรมการบริหารพรรคทั้ง 2 เป็นสาเหตุของการยุบพรรคและสมควรส่งศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้คาดว่าต้นเดือน มี.ค. คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะสามารถสรุปสำนวนได้ เนื่องจากกระบวนการสอบสวนไม่มีอะไรมาก
เพราะมีสำนวนการให้ใบแดงจาก กกต.แล้ว และเมื่อสอบสวนข้อเท็จจริงจนถึงขั้นส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น ก็ต้องดูว่าศาลรัฐธรรมนูญเห็นพ้องกับ กกต.จนถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ แต่ตามปกติแล้วการกระทำของกรรมการบริหารพรรคก็เป็นไปเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพรรคการเมือง ความผิดของกรรมการบริหารพรรคก็ย่อมต้องส่งผลถึงพรรคด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ที่ศาลจะเห็นด้วยหรือไม่
นางสดศรีกล่าวถึงกรณีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของ กกต.ว่า
ก่อนหน้านี้นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้หารือในที่ประชุม กกต.ว่า ควรจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่การทำงานกัน โดยจะขอย้ายจากฝ่ายสืบสวนฯ ไปรับผิดชอบด้านอื่น แต่ที่ประชุมก็เห็นว่าไม่ควรปรับเปลี่ยนช่วงนี้ ควรให้การเลือกตั้ง ส.ว. ผ่านพ้นไปก่อน ก่อนหน้านี้เคยหารือกันว่า กกต.ควรทำงานกันในลักษณะคณะกรรมการหรือบอร์ดที่เป็นการทำงานร่วมกัน แต่เมื่อมาพิจารณาให้ดีกลับพบว่าไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เนื่องจากติดปัญหาในการพิจารณางานและการเซ็นเอกสาร อีกทั้งหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ก็เป็นการ ทำงานซ้ำซ้อนกับนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ที่ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่ง แต่ก็มาดูแลด้านพรรคการเมืองอีก ดังนั้น เรื่องนี้จึงยังไม่มีข้อสรุป