นายเกษม วัฒนศิริธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมคัดค้านการให้ใบแดงว่าที่ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน (พปช.) รวมทั้งการชุมนุมขับไล่ตนเอง ว่า อยากขอตั้งข้อสังเกตุว่าหากเห็นว่าตนไม่เป็นกลาง ทำไมไม่ชุมนุมคัดค้านขับไล่กกต.บุรีรัมย์ทั้ง 5 คน ทำไมถึงไล่แค่ 2 คน ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากตนในฐานะรองผู้ว่าราชการจ.บุรีรัมย์ กำลังพิจารณาคดีที่สำคัญอยู่ 4 คดี 1.การบุกรุกที่ดินของพื้นที่ป่าเขากระโดง โดยเป็นอนุกรรมการ
ของกระทรวงคมนาคม กำลังสอบเรื่องนี้อยู่ 2.การบุกรุกที่ดินที่สตึก ที่มีการถมลำน้ำยึดคลองเป็นที่เดียวกัน ถึงขั้นสอบสวนเสร็จสิ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นผู้ส่งเรื่องมาให้จังหวัดดำเนินคดีแก่กลุ่มของนักการเมืองในพื้นที่ที่มีอิทธิพล แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อ 3.การทุจริตการซื้อที่ดินในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ตั้งแต่ปี 2543 ไม่มีใครกล้าแตะยาวมานาน จนถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้มูลว่าเป็นการทุจริต ให้จังหวัดดำเนินคดีอาญาโดยด่วน แต่ก็ถูกยื้อเวลามากว่า 100 วันแล้วไม่มีทำอะไรกัน จนตนต้องเร่งรัดสตง.ให้รีบดำเนินการไม่งั้นอาจจะเข้าข่ายการละเว้นต่อหน้าที่ และ 4.การร้องเรียนว่าการเลือกตั้งส.จ.ไม่ชอบ
'ทั้ง 4 คดี ผมในฐานะที่ส่วนหนึ่งเป็นรองผู้ว่าฯ ก็คุมคดีนี้ ในส่วนกกต.ก็สอบสวนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ท่านรองสังวรณ์ (พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล) ก็คุมเกี่ยวกับคดีอาญา ฉะนั้น มูลเหตุเหล่านี้จูงใจน่าเชื่อได้ว่า มีการกระทำที่เล็งมาที่ผมสองคน' นายเกษม กล่าว
เมื่อถามว่ากำลังจะบอกว่ามีความพยายามที่จะให้ทั้งนายเกษฒ และพ.ต.อ.สังวรณ์ พ้นไปจากคดีทั้ง 4 นี้ รวมไปถึงการดูแลให้ใบแดงการเลือกตั้งบุรีรัมย์เขต 1 ด้วยใช่หรือไม่ นายเกษม กล่าวว่า ใช่ครับ
ต่อข้อถามว่าการกระทำทั้งหมดเกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนเดียวกัน ประธานกกต.บุรีรัมย์ กล่าวว่า 'ก็ดูได้ มาในพื้นที่ก็ดูได้ มีข้อมูล ขณะนี้ผมรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทยแล้วว่าขอให้เร่งรัดคดีให้ปรากฏโดยชัดเจน และให้ทำอย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นตัวอย่าง อย่าซื้อเวลากัน'
เมื่อถามว่าวันนี้ (7 ม.ค.) เป็นวันที่ครบกำหนด 3 วันที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้นายเกษม และพ.ต.อ.สังวรณ์ ยุติบทบาท โดยเรียกร้องว่าถ้ายังไม่ยอมยุติบทบาทก็จะกลับมาชุมนุมกันอีกครั้งหนึ่ง นายเกษม กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของเขา แต่อย่าลืมว่าหนังสือถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งว่า ข้อเสนอดังกล่าวเหล่านี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณา เมื่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งส่งสำนวนการพิจารณาเรื่องนี้ให้กกต.พิจารณาแล้ว ก็จบหน้าที่แล้ว จะมาบีบอะไร
ต่อข้อถามว่าถ้ากกต.กลางไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอะไรนายเกษมกับพ.ต.อ.สังวรณ์ ก็จะอยู่ในหน้าที่เหมือนเดิม ประธานกกต.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ก็ต้องมีคำสั่งและต้องมีการสอบสวนนะ และถ้าหากตนผิดจริงก็ดำเนินคดีอาญาได้เลย
อย่างไรก็ตาม นายเกษม ได้กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 236 ได้ให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจที่จะแต่งตั้งบุคคล คณะบุคคลหรือผู้แทนองค์กรเอกชน มาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายได้ ดังนั้น กกต. จะสอบใครจะตั้งใครบุคคลภายนอกอะไร จึงไม่ได้มีความขัดแย้งหรือผิดรัฐธรรมนูญ ม.236 แต่อย่างใด ดังนั้น ในประเด็นของเรื่องสันติบาลหรือไม่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของกกต.กลาง โดยที่ตนไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนข้อมูลเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการดังกล่าวเลย ฉะนั้น อำนาจกกต.ที่มีไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะต้องเหลืองหรือแดง อาจจะไม่ต้องเหลืองหรือแดงก็ได้ อยู่ที่กกต.กลางพิจารณา
เมื่อถามว่าจะเปิดเผยได้หรือไม่ว่าในวันที่หอบสำนวนไปให้กกต.กลาง กกต.บุรีรัมย์ได้เสนอว่าให้ใบแดงหรือไม่ ประธาน กกต.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เราชี้แจงในเรื่องเอกสาร โดยมีกรรมการของเราร่วมชี้แจงด้วย โดยมีการให้ข้อเท็จจริง โดยกกต.ก็จะเป็นผู้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากนั้นก็ให้พวกเราออกนอกห้อง เราจะรับรู้ไม่ได้ เขาจะว่ากันไปเอง จะไม่มีการถามว่าอย่างนี้ควรจะอย่างไร โดยจะนำข้อมูลไปวินิจฉัยเอง
นายเกษม กล่าวต่อว่า เข้าใจว่าวันนี้ไม่น่าจะมีการชุมนุมต่อ อยากจะเรียนว่าถ้าท่านเคารพกติกาของประเทศ ไม่มีใครทำกัน เราอยู่ในช่วงที่ไว้อาลัยกัน นักการเมืองในท้องที่ก็ดีถ้าได้ทำความเข้าใจประชาชนในกระบวนการเลือกตั้ง ขอติงกระทรวงมหาดไทยนิดเดียวในฐานะที่ดูแล ความสงบเรียบร้อย ควรจะได้ประสานกับกกต.จังหวัด ว่าให้ประชาชนเคารพหลักเกณฑ์ของระบบการเลือกตั้ง