ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน
ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าพรรคพลังประชาชนออกมาโวยวายที่ได้ใบเหลืองใบแดงมากเพราะแทรกแซง กกต.ไม่ได้ว่า การที่พรรคพลังประชาชนออกมาสอบถามขอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการให้ใบแดงที่เขต 1 จ.บุรีรัมย์ เพราะข้อเท็จจริงมีความสับสนระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง โดย กกต.กลางคนหนึ่งเคยบอกว่าเป็นความเห็นของ กกต.จังหวัดที่ให้ใบแดง แต่เมื่อมีหลักฐานว่า กกต.จังหวัดไม่เคยเสนอให้ใบแดง จึงสับสนว่าขั้นตอนการตัดสินใจให้ใบแดงอยู่ที่ขั้นตอนใด หาก กกต.จังหวัดไม่ได้เสนอไป แล้ว กกต.กลางจะอ้างว่า กกต.จังหวัดเป็นคนเสนอได้อย่างไร และหาก กกต.จะวินิจฉัยให้ใบแดงก็สมควรอย่างยิ่งที่ต้องรับฟังข้อมูลจากผู้ที่ถูกร้องเรียน จึงเป็นสิ่งที่เราขอความชัดเจน
“สิ่งที่เราทำเป็นการขอความยุติธรรมจาก กกต. ไม่ใช่กระบวนการไปกดดันหรือแทรกแซง การที่ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์พูดโดยสรุปว่าพรรค การเมืองที่ได้รับใบเหลืองใบแดงมากเพราะไม่สามารถแทรกแซง กกต.ได้นั้น ตรรกะนี้ไม่สมเหตุสมผล ถ้าอย่างนั้น อาจไปคิดอีกมุมหนึ่งได้หรือไม่ว่าพรรคที่ได้ใบเหลืองใบแดงน้อยเป็นเพราะแทรกแซง กกต.ได้ ตรงนี้จึงอาจทำให้เกิดความเชื่อว่าจนป่านนี้ที่ยังไม่สามารถประกาศผลกรณีจับกุมเงินซื้อเสียงล้านกว่าบาทที่ จ.เพชรบูรณ์ได้ เพราะกำลังเกิดการแทรกแซง กกต.ขึ้นหรือเปล่า” เลขาธิการพรรคพลังประชาชนกล่าว
นพ.สุรพงษ์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช.
ออกมาตั้งคำถามทำนองว่า 233 เสียงที่พรรคพลังประชาชนได้มาเพราะใช้เงินซื้อเสียงหรือไม่นั้น ความคิดเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิอย่างมาก เพราะวันนี้ประชาชนใช้วิจารณญาณเลือกผู้แทนเข้าทำหน้าที่บริหารประเทศโดยไม่หวั่นเกรงต่อแรงเสียดทานใดๆ และเป็นที่ยอมรับกันอยู่ว่าพรรคพลังประชาชนต้องเผชิญแรงเสียดทานนานาประการตลอดการหาเสียง ประชาชนก็ยังให้ความไว้วางใจมากขนาดนี้ แสดงว่าอำนาจเงินหรืออำนาจปืนก็ไม่สามารถบั่นทอนเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของประชาชนได้ อยากขอให้ พล.อ.สมเจตน์หันกลับมาร่วมกันพัฒนาประเทศชาติไปสู่เส้นทางประชาธิปไตย เพราะวันนี้ประเทศชาติบอบช้ำมามากพอแล้ว ส่วนที่มองว่ามีการเกณฑ์มวลชนไปกดดัน กกต.บุรีรัมย์นั้น พรรคพลังประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นการแสดงออกของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย หากไม่ไปกระทบสิทธิคนอื่น หาก กกต.ยืนหยัดบนหลักความยุติธรรมและเที่ยงธรรม ก็ไม่มีใครสามารถไปกดดันได้ ซึ่งอีกกว่า 60 สำนวนที่ยังเหลืออยู่หาก กกต.พิจารณาสอบสวนโดยยึดความยุติธรรม คงไม่มีประชาชนที่ไหนออกมาแสดงความเห็นอีก