ประชาธิปัตย์ หวั่นวิกฤต ศก.แนะ 7 มาตรการจี้รัฐสางปมปัญหา
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤษภาคม 2549 14:15 น.
ปชป.แนะทางออกรัฐบาล 7 ข้อ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ระบุ ออกนโยบายเศรษฐกิจรายวัน ล้วนแต่ล้มเหลว พร้อม จับตาเงินผี 1.4 แสนล้าน ป่วนค่าเงินบาทแข็งสวนกระแสเศรษฐกิจ หวั่นวิกฤตเงินเฟ้อ ส่งออกวูบ ดอกเบี้ยพุ่ง ลงทุนชะลอตัว ส่วนเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิ จี้รัฐบาลระบุวันเปิดให้ชัดเจน
วันนี้ (7 พ.ค.) นายเกียรติ สิทธีอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลรักษาการแต่ก็ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของเศรษฐกิจ เพราะมีสัญญาณอันตรายหลายเรื่อง แต่รัฐบาลก็ยังไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากราคาน้ำมัน แม้จะออกมาตรการหลายอย่างแต่ก็ไม่มีประสิทธิผล มาตรการประหยัดพลังงาน 12 ข้อ ไม่มีการประเมินประสิทธิภาพ การหาพลังงานทดแทนไม่เป็นรูปธรรมและไม่ช่วยแก้ปัญหา
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเงินเฟ้อ เพราะไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าให้สะท้อนกับราคาต้นทุนที่เป็นจริง โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจากการเดินสำรวจราคาสินค้าในตลาดสด และตามห้างสรรพสินค้า พบว่า สินค้าหลายอย่างแม้ไม่มีการขึ้นราคาจริง แต่มีปริมาณลดลง เช่น สบู่ ผ้าอนามัย กระดาษชำระ ผงซักฟอก ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าตามท้องตลาดมีราคาสูงกว่าราคาที่กรมการค้าภายในประกาศในเว็บไซต์กว่า ร้อยละ 100 ขณะที่บางแห่งสูงถึงร้อยละ 300-700 โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าคิดราคาที่สะท้อนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ และเหตุใดกรมการค้าภายในไม่นำข้อมูลที่แท้จริงมาเปิดเผยให้ประชาชนและสังคมได้รับทราบ
นายเกียรติ กล่าวว่า สิ่งที่น่าวิตก คือ หลังจากราคาสินค้าเพิ่มสูงอัตราเงินเฟ้อก็เพิ่มขึ้น ขณะนี้อยู่ประมาณร้อยละ 6.7 ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นและยากต่อการประเมินในภาวะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดุลการค้าในไตรมาสแรกขาดดุลทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหา การลงทุนชะลอตัวลง ซึ่งจากตัวเลขของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พบว่า มีผู้ขออนุญาตการลงทุน ออกบัตรสิทธิประโยชน์เพียงร้อยละ 50 ขณะเดียวกัน อัตราและเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งขึ้นขณะนี้อยู่ที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่ความจริงควรอยู่ที่ 39-40 บาท เพราะภาวะการเมืองที่ไม่เสถียรภาพและภาวะการขาดดุล แต่เงินบาทกลับแข็งสวนทาง
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขาดดุลการค้าโดยเฉพาะการส่งออก และถือเป็นความผิดปกติที่ค่าเงินบาทแข็งมากกว่าค่าเฉลี่ยของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และสิ่งที่ผิดปกติ คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานตัวเลขเงินไหลเข้าในระบบผิดปกติกว่า 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้เงินบาทแข็งขึ้น โดยจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการด้านการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าด้านการเกษตร เช่น มีการยกเลิกสั่งซื้อข้าวจากประเทศไทย เพราะเมื่อเทียบเป็นราคาดอลลาร์แล้วจะมีราคาสูงกว่าเวียดนามถึง 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมรุนแรง โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ที่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น
นโยบายหลายอย่างของรัฐบาลมีท่าทีไม่ตรงกับความคิดภาคเอกชน อย่างที่รัฐบาลบอกว่าไม่กระทบต่อการส่งออก แต่ภาคเอกชนยืนยันว่ากระทบอย่างมาก รัฐบาลไม่มีนโยบายเศรษฐกิจภาพรวมมีแต่นโยบายรายวัน แม้จะเป็นแค่รักษาการแต่ก็ต้องทำให้ดีกว่านี้ จะลากให้สถานการณ์ไปวันๆ ไม่ได้ เพราะปัญหาจะทวีคูณ มีสัญญาณอันตรายออกมาหลาอย่าง แต่รัฐบาลเกาไม่ถูกที่คัน นายเกียรติ กล่าว
ดังนั้น ตนจึงขอร้องเรียนไปยังรัฐบาล 7 ข้อ คือ 1.จะทำอย่างไรกับข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาราคาสินค้าที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 2.ราคาน้ำมันรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรในภาวะที่ประชาชนใช้น้ำมันแพงขึ้น แต่บริษัทในเครือ ปตท.มีกำไร 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น มีกำไรต่อหน่วยถึง 8-9 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งกำไรมาตรฐานอยู่ที่ 2.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ ปตท.มีกำไร 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อปี 2545 ก่อนมีการแปรรูป ปตท.มีกำไร 2.5 หมื่นล้านบาท หลังการแปรรูปมีกำไรเพิ่มขึ้น 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า 3.รัฐบาลจะจัดการอย่างไรกับเงินร้อนที่เข้ามามากผิดปกติ จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งกว่าปกติในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านี้ ธปท.ออกมาระบุว่า เงินที่เข้ามาเกิดจากเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัว เงินจึงเข้ามาผิดปกติ ดังนั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินมาจากสหรัฐ หรือจากสิงคโปร์ เพราะสหรัฐถือหุ้นในบริษัทนอมินีของสิงคโปร์ ซึ่งมีหลายบริษัทที่ลงทุนผ่านสิงคโปร์เตรียมตั้งท่ามาซื้อทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจในไทย และที่น่าสังเกต คือ ในช่วงที่ประกาศเว้นวรรค มีการถอนเงินในธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง 2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้สภาพคล่องในสถาบันการเงินหายไป จนต้องไประดมทุนจากผู้ฝาก เพื่อเรียกสภาพคล่องกลับคืนมา ดังนั้น ตนจึงอยากเรียกร้องเปิดเผยข้อมูลตัวเลขเงินเข้าออก ทั้งหมดสู่สาธารณะ เพราะไม่น่าจะมาจากสหรัฐเพียงที่เดียว
4.รัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกรทั้งจากที่ได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอ และอัตราแลกเปลี่ยนการเงินอย่างไร 5.รัฐบาลจะทำอย่างไรกับปัญหาราคาสินค้าเกษตรหลายตัวถูกยกเลิกการสั่งซื้อ โดยเฉพาะสินค้าส่งออก 6.การลงทุนมีการชะลอตัวจะดำเนินการอย่างไร โดยตัวเลขการออกบัตรสิทธิการลงทุนในไตรมาสแรก มีเพียง 8.4 หมื่นล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเดียวกันที่สูงถึง 1.4 แสนล้าน 7.ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นภาคธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งสัมพันธ์กับภาคแรงงาน เกิดการชะลอตัวจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและดอกเบี้ยสูงขึ้น รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร
นายเกียรติ กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ไข่ไก่ มีการขยับราคาเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ย 2 บาทต่อฟอง ซึ่งคนไทยกว่า 22 ล้านคน บริโภคไข่ไก่ต่อ 1 วัน รัฐบาลจะอธิบายส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค
ส่วนการที่รัฐบาลเตรียมจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 แบบสมดุลนั้น นายเกียรติ กล่าวว่า เป็นการสร้างภาพเพื่อให้คนรู้สึกว่าเศรษฐกิจดี เพราะประชาชนไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง โดยคิดว่าเศรษฐกิจโต 6.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลใช้มาตลอด แต่ความจริง เศรษฐกิจโตเพียง 4-5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ในการจัดทำงบประมาณต้องคำนึงถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ดังนั้น จึงเป็นการหลอกตัวเอง แต่ที่สุด ความจริงก็จะสะท้อนออกมา
ขณะที่ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความไม่พร้อมของสนามบินสุวรรรภูมิ ว่า ขณะนี้ พรรคได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการ และตัวแทนสายการบินที่จะเข้ามาลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิที่ยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลในเรื่องของวัน เวลาเปิดใช้สนามบิน เพราะ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติการราชการแทนนายกรัฐมนตรี ยืนยันตรงกันกับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม ว่า จะเปิดได้ทันเวลา แต่ พล.อ.ชัยนันท์ เจริญศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ความเห็นตรงกันข้าม โดยยืนยันว่าสนามบินแห่งนี้ไม่สามารถเปิดใช้ได้ทันกำหนด ในเดือน มิ.ย.-ก.ค.ปีนี้
ซึ่งตัวแทนสายการบินและนักลงทุนมีความวิตกกังวล เพราะไม่สามารถวางแผนทางธุรกิจได้ ว่าจะมีการโยกสำนักงาน บุคลากรมาได้เมื่อไร จึงอยากให้รัฐบาลกำหนดวันให้ชัดเจน เพื่อจะได้วางแผนล่วงหน้าได้ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการให้บริการ