ด้วยเหิมเกริมในปลอกคอ / เปลวสีเงิน
คนปลายซอย
4 พฤษภาคม 2549 กองบรรณาธิการ
ผมไม่แน่ใจว่า "คนในสังคมบ้านเมือง" ได้ฟัง หรือได้อ่าน กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงกำชับให้ประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครอง ไปช่วยกันหาทางแก้ไขวิกฤติในบ้านเมืองขณะนี้ เมื่อ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ นี้ หรือไม่?
แต่ถ้าอ่านกันแล้ว ได้ฟังกันถ้วนทั่วแล้ว...กลับมี "ปฏิกิริยา" เป็นการสนองตอบดังปรากฏขณะนี้ โดยเฉพาะจากกลุ่มการเมืองซีกไทยรักไทย และกองกำลังบริวาร "จัดตั้งใต้ดิน"
ครับ..ก็เป็นเรื่องน่าวิตก และเป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่างที่ต้องใคร่ครวญกันหนักขึ้น!?
ประเทศไทยภายใต้ "ระบอบทักษิณ" อันมีนโยบายประชานิยม แพร่กระจายความเชื่อสู่สังคมด้วย "รูปแบบการตลาด" เพียง ๕ ปี ภายใต้ระบอบนี้
คนไทย "ส่วนหนึ่ง" จากทุกระดับสังคม
ยอม "สวามิภักดิ์" กราบกราน "ด้วยภักดี"
โดยยึดลาภ-ผลที่ตนได้อยู่ในกระเป๋าเฉพาะตน แล้วทึกทักว่า "ประชาชนทุกคน" ในระบอบทักษิณ ก็ต้องอิ่มหมีพีมันภายใต้ "บารมีของท่าน" ด้วย!
ความจริง ถ้าจะเอ่ยคำว่า "ระบอบทักษิณ" บางคนอาจเข้าใจไม่ชัดเจน และไม่ถ้วนทั่วถึงสรรพคุณ ผมอยากให้ไปหาแผ่นซีดีเพลง "คนหน้าเหลี่ยม" มาเปิดฟัง
นั่นแหละ ครบถ้วน คนเขียนเพลงเขาเก็บรายละเอียดในความเป็น "ระบอบทักษิณ" ไว้ชนิด ฟังแล้วเห็นภาพทะลุ!
ก็กลับเข้าเรื่องต่อนะครับ ผมอยากให้รัฐสภานำกระแสพระราชดำรัส เมื่อวันที่ ๒๕ เม.ย. ที่พระราชทานแก่ประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครองมาพิมพ์ตัวโตๆ ซัก ๔๙๙ + ๒๐๐ แผ่น คือเท่าจำนวน ส.ส.และ ส.ว.ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งไปหมาดๆ นั่นแหละ!
พอ ส.ส.หรือ ส.ว.คนไหนมารายงานตัว ก็มอบกระแสพระราชดำรัสนั้นให้นำกลับไปนอนอ่านกันคนละแผ่น
ครับ..จะได้เป็นเครื่องเตือนสติกันว่า แผ่นดินนี้ เรามี "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็นองค์พระประมุขสูงสุดของชาติ
และ "พระเจ้าแผ่นดิน" ทรงมีรับสั่งเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองในเวลานี้ไว้ว่าอย่างไร?
และคนระดับพวกท่าน ควรจะ "รับด้วยเกล้าฯ" ทั้งกาย ทั้งวาจา และทั้งใจ นำพระราชดำรัสนั้นไปปฏิบัติด้วย "จิตสำนึกแห่งภักดี" ให้เป็นแบบอย่างที่แนบแน่นใจกับผู้คน แบบไหน อย่างไร?
มิใช่น้อมรับด้วยปาก แต่กลับมีปฏิกิริยา ยักเยื้อง-โต้แย้ง กระด้างกระเดื่อง ด้วยเล่ห์ลิ้นต่างๆ นานา ดังบางคนกระทำกันอยู่
อย่าลืมนะครับ ศาลทุกศาล ทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ล้วนปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ "พระปรมาภิไธย"
อย่านึกว่า อยู่พรรคไทยรักไทย เป็นลูกน้องทักษิณแล้วจะ "กร่าง" ไปได้ทุกเรื่อง ทุกที่
สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น
อดีต ท่านเป็นนายตำรวจ เป็นพ่อค้ามือถือ-ดาวเทียม เป็นเจ้าของแอมเพิลริช บนเกาะบริติช เวอร์จิน เป็นจำเลยคดีซุกหุ้น เป็นคนดีของเพื่อน เป็นเทวดาของชาวรากหญ้าบางกระหย่อม
ปัจจุบัน ท่านเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนายกฯ รักษาการ เป็นคนที่สังคมไทยส่วนหนึ่ง "รู้ทัน" แล้วขับไล่ และเป็นพ่อของลูกที่ร่ำรวยติดอันดับโลก
อนาคต ท่านประกาศจะทำให้ "คนจน" หมดไปจากประเทศไทย "ภายใน ๕ ปี" และจะนำไทยสู่ความเป็นประเทศศิวิไลซ์ ๑ ในอันดับของโลก
วานนี้ "นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" ในฐานะโฆษกสำนักนายกฯ ออกมาแถลงว่า "พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ รักษาการอีกครั้งหนึ่งแล้ว"
โดยมีตารางการปฏิบัติหน้าที่ "นายกฯ รักษาการ" ว่า ในวันที่ ๕ พฤษภาคม จะนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมงคลสมัยวันฉัตรมงคล
เป็นประธานในงานเฉลิมฉลองวันฉัตรมงคล และเป็นผู้นำกล่าวถวายพระพร
และตอนเย็น จะเข้าเฝ้าฯ ในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
พ้นจากวันนี้แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณผู้เป็นใหญ่ "ฝ่ายบริหารบ้านเมือง" จะว่าราชการงานเมืองต่อไปตามปกติ
หรือว่าจะ "เว้นวรรคต่อ" แล้วแต่งตั้งให้ "พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์" ปฏิบัติราชการในตำแหน่ง "นายกฯ รักษาการ" แทนต่อไป?
ก็คงต้องรอฟัง "กำหนดการ" จะเคลื่อนไปไหน-มาไหนของ พ.ต.ท.ทักษิณท่าน ผ่านทางโฆษกสำนักนายกฯ ผู้จะออกมาแถลงให้ประชาชนทราบเป็นระยะ!
ท่านชิดชัย ก็ไต่ถามอาจารย์วิษณุ-อาจารย์บวรศักดิ์ให้ดีนะครับว่า ตัวท่านไม่ได้เป็น ส.ส.แล้วจะมาเป็น "นายกฯ รักษาการ" ได้หรือไม่?
ถ้าได้..ก็ต้องถามท่านให้ชัดๆ ด้วยว่า ได้-ตามกฎหมายวิษณุ-บวรศักดิ์
หรือว่า ได้-ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ?
ขอตอบรับถึงคุณผู้ใช้นามว่า "โชติชัย" และคุณ "ฉ.ภิญญา" จากสุราษฎร์ธานี จดหมายลายมือของท่านคนละหลายแผ่นนั้น ผมได้รับและอ่านแล้ว โดยเฉพาะของคุณ ฉ.ภิญญา ไปอ่านพระอาจารย์ทักษิณทำนายทายทักดวงศิษย์รัก แล้ววิพากษ์-วิจารณ์ผ่านมาทางผม
เรื่องพระ ขอรับฟังครับ แต่ไม่ขอวิจารณ์ เพราะผมเคารพ "เครื่องแบบพระพุทธเจ้า" คือผ้าเหลือง แต่เพื่อสื่อให้ทราบทัศนะสังคมขณะนี้ ผมขอนำแฟกซ์ผู้ใช้นามว่า "หมอศิริราช" มาตีพิมพ์ ดังนี้
เรียน คุณเปลว สีเงิน ที่นับถือ
ดิฉันได้อ่านคอลัมน์ของคุณ ไทยโพสต์ ฉบับวันศุกร์ที่ ๒๘ เมษายน ที่ผ่านมา โดยได้ลงตีพิมพ์จดหมายจากผู้ใช้นามว่า "ทนายปี ๒๕๐๘" ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่มีเหตุผลน่าสนใจ เท่าที่ทราบ ท่านประธานศาลฎีกาก็ได้เสนอแนวทางเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายสอดคล้องกับความเห็นของคุณ "ทนายปี ๒๕๐๘" ในวันที่มีการประชุมร่วมกันของประมุขทั้งสามศาล
เมื่อพิจารณาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรัสกับประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานศาลฎีกา เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พระองค์ทรงเน้น และทรงให้ความสำคัญต่อองค์กรของศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา ที่ควรจะเข้ามามีบทบาทในฐานะคนกลางแก้ไขปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองในขณะนี้
เพื่อเป็นการสนองกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่าคนไทยส่วนใหญ่ อยากจะเห็นองค์กรศาลฎีกา เป็นหัวหอกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของบ้านเมือง โดยรับหน้าที่ในการสรรหาคนกลางที่มีความรู้ ความสามารถ และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับของสังคม ขึ้นมาเป็นคณะทำงานเพื่อสะสางแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปรับปรุงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญให้มีมาตรฐานสอดคล้องกับสังคมไทยในปัจจุบัน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
หากปล่อยให้องคาพยพของรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระยังคงดำรงสถานภาพอยู่เช่นนี้ จะมีการเลือกตั้ง ส.ส.สักกี่ครั้งกี่หน สภาพการเมืองไทยก็จะต้องพบกับปัญหา อุปสรรค ความสับสน และความแตกแยกในสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เช่นที่เกิดอยู่ขณะนี้
ดิฉันเชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่ต่างยอมรับ ถ้าศาลฎีการับเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขวิกฤติทางการเมืองของประเทศในขณะนี้ ดีกว่าที่จะให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแก้ไข
จึงขอเสนอเรื่องนี้ผ่านมายังคุณเปลว หากเห็นด้วย ก็ควรที่จะเสนอความเห็น และให้แนวทางต่อสาธารณะเกี่ยวกับเรื่องนี้ จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
จาก หมอศิริราช (๒ พ.ค. ๒๕๔๙)
ครับ..ที่ผมนำจดหมายฉบับนี้ตีพิมพ์ นอกเหนือความ "เห็นด้วย" หรือ "ไม่เห็นด้วย" แต่ต้องการสะท้อน "ทัศนคติ-ความรู้สึก-ความต้องการ" ของประชาชนขณะนี้ในฐานะ "ผู้ถูกบริหารและปกครอง" ไปยังบุคคล และองค์กรในระดับ "ผู้บริหารและปกครอง" ด้วยอำนาจรัฐ
อย่ามองว่า เป็นความเห็นที่ เกินกรอบ นอกกรอบอำนาจ-หน้าที่ ของ สถาบันใด-สถาบันหนึ่ง อันเป็นการเฉพาะ
แต่ทุกฝ่าย-ทุกองค์กร จงมองให้เห็น "ก้นบึ้ง" แห่งความต้องการของประชาชน ผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองว่า
ขณะนี้ เขาเบื่อ เขาเอียน เขาเอือม เขาเสื่อมความเชื่อถือ และหมดศรัทธาต่อ "กระบวนการบริหารและปกครอง" ของประเทศอันเป็นภาพรวมในขณะนี้
ถึงที่สุดแล้ว!
นี่คือ "สัญญาณอันตราย" ถึงพวกไพร่ แต่ได้สิทธิ์เข้าครองระบบ "อำนาจรัฐ" ทั้งหลาย อันองค์กรรัฐทั้งมวลนั้น ประชาชนตั้ง ประชาชนจ่ายเงินจ้าง
ท่านจะจัดสรร "ระบบอำนาจ-ระบบบริหาร" กันอย่างไร-เรื่องของท่าน
แต่ตราบใดที่ ประชาชนรู้สึกว่า "เสียข้าวสุกเปล่า" เลี้ยงให้มีแรง แล้วก็เห่าใส่ ชนิดไม่สนใจ "ใครเป็นเจ้า-ใครเป็นนาย" มีแต่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน
"ตราบนั้น จงระวังกันไว้...
มันจะตาย "ด้วยตีน" ประชาชน ซักวัน!.