ท่ามกลางเสียงเรียกร้องกดดัน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ให้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง (ครส.) หลังจากคณะกรรมการสอบสวนเอกสารลับ คมช.มีมติว่ากองทัพวางตัวไม่เป็นกลางนั้น ล่าสุด พล.อ.สนธิประกาศจะไม่ลาออกจากตำแหน่งประธาน ครส. จนกว่านายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งให้เลิกทำงาน
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง (ครส.) ให้สัมภาษณ์ถึงการสอบสวนเรื่องเอกสารลับ คมช.ที่กำลังสู่การพิจารณาของ กกต. หลังจากที่คณะกรรมการสอบสวนชุดที่มีนายสุพล ยุติธาดา เป็นประธาน มีมติ 4 ต่อ 3 ชี้ว่ากองทัพวางตัวไม่เป็นกลางว่า ตนไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย คงต้องให้ คมช.ดำเนินการกันไป เพราะได้ออกมาจากตรงนั้นแล้ว ส่วนภาระหน้าที่ในการทำงานตามวาระแห่งชาติเรื่องการรณรงค์ป้องกัน การซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น ยังไม่มีใครมาสั่งให้ยกเลิก ก็ยังทำงานตามปกติ แต่หากว่าในอนาคตนายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา ก็ต้องทำตามคำสั่ง โดยส่วนตัวยังไม่ได้คุยกับ คมช. เพราะถือว่าออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว จึงเป็นเรื่องที่คมช.ต้องตัดสินใจเอง ส่วนที่มีความพยายามโยงเรื่องนี้ก็เพื่อกดดันให้ตนลาออกจากการเป็นประธาน ครส. ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง เป็นความพยายามที่จะทำให้เป็นบวกกับฝ่ายตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ กกต.ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา
โดยได้รับทราบถึงผลสรุปของคณะกรรมการสอบสวนเอกสารลับคมช.สกัดพรรคพลังประชาชน และรับทราบเรื่องที่สำนักงานเลขาธิการ คมช.ส่งหนังสือขอให้ทบทวนมติคณะกรรมการสอบสวน โดยนัดประชุมอีกครั้งเพื่อชี้ขาดเรื่องนี้ในวันที่ 4 ธ.ค.นั้น ปรากฏว่าหลังจากนั้น กกต.หลายคนได้พูดคุยนอกรอบเป็นการส่วนตัว ในเบื้องต้นส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าจะไม่ทบทวนมติของคณะกรรมการสอบสวน แต่จะนำความเห็นของกรรมการสอบสวนแต่ละคนมาพิจารณา รวมถึงข้อท้วงติงจากสำนักงานเลขาธิการ คมช. ด้วย นอกจากนี้ยังเห็นว่าการกระทำของ คมช.เกิดก่อนมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นอำนาจของ คมช. ที่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องดูแลด้านความมั่นคง แต่ภายหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว ต้องหยุดการกระทำดังกล่าว และขณะนี้ก็ได้หยุดกระทำการนั้นแล้ว ส่วนพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ก็พ้นจากตำแหน่งประธาน คมช. และ ผบ.ทบ. จึงพ้นจากความรับผิดชอบสั่งการ อย่างไรก็ตาม กกต.อาจจะต้องถามไปยัง คมช.ว่าได้ยุติการกระทำตามเอกสารลับหรือยัง โดยจะให้ คมช.ชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กกต.บางคนยังมีความเห็นว่ากรณีนี้ คมช.ไม่ถือว่าทำผิดกฎหมาย
เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ให้ความคุ้มครองไว้แล้ว สำหรับประเด็นเอกสารเป็นของจริงหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมอะไรหรือไม่ เพราะข้อความบางตอนในเอกสารที่ คมช.นำมาแสดงมีเพียง 2 บรรทัด ขณะที่เอกสารที่พรรคพลังประชาชนนำมาแสดงมีความยาว 3 บรรทัดนั้น ตรงนี้เห็นชัดว่าเอกสารมีการเปลี่ยนแปลง แต่เอกสารของฝ่ายใดเป็นของจริง จะให้ผู้เกี่ยวข้องไปฟ้องร้องพิสูจน์กันเองในชั้นศาล