ภาวะผู้นำยามวิกฤติของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทันทีที่พรรคมหาชน และพรรคประชาธิปัตย์ มีมติที่จะคว่ำบาตร การเลือกตั้ง 2 เม.ย. ศึกที่รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีทางชนะ ไม่เพียงกลุ่มพลังมวลชนที่เริ่ม 
มูลค่าของการเป็นผู้นำพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็พุ่งพรวดทะลุปรอท 
ไม่ใช่แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปลาบปลื้ม ด้วยความรู้สึกว่า ไม่ถูกการเมืองโดดเดี่ยว แม้แต่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน ถึงกับออกปากชื่นชม
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายเอนกวิพากษ์ความเป็นผู้นำของ นายอภิสิทธิ์ ในท่วงทำนองว่า "ไม่ถึง" มาโดยตลอด นับแต่เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยันช่วงที่ไปเป็นหัวหน้าพรรคมหาชน 
เพราะต่างก็มองเห็นว่า แนวทางคว่ำบาตรนั้นเป็นทางเดียวที่จะสู้กับเกมที่คู่ต่อสู้เป็นผู้กำหนด
เป็นหนทางเดียวที่ไม่เพียงหลีกหนีความพ่ายแพ้ หากแต่ตอกย้ำถึงความไม่ชอบธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ยุบสภา ทั้งที่คนจากทั่วสารทิศที่มารวมกันที่ท้องสนามหลวงไม่ยอมรับในอำนาจนั้น 
การประกาศคว่ำบาตร โดยปราศจากเงื่อนไขอื่น จึงเป็นแนวทางร่วมของคนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านระบอบทักษิณ 
แม้จะรู้ว่า "เสี่ยง" แต่พวกเขาก็ยินดีน้อมรับผลที่จะเกิดขึ้น 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงกับประกาศต่อที่ประชุมว่า "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" 
เป็นการพูดหลังจากได้ฟังความเห็นแย้งจาก นายหัว ชวน หลีกภัย ที่โทรศัพท์ทางไกลมาแย้งว่า ไม่ต้องการให้ทำนอกระบบ 
ไม่เพียงแค่ที่พรรค หากแต่ นายอภิสิทธิ์ ยังยืดอกแถลงยืนยัน ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ว่าไม่มีกฎหมายใดๆ ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
จึงไม่ใช่การเมือง "นอกระบบ" อย่างที่จะถูกกล่าวหา 
ใครก็มองออกว่า เกมของประชาธิปัตย์ และมหาชน คว่ำบาตรการเลือกตั้งนั้น มุ่งหน้าสู่ "รัฐธรรมนูญ มาตรา 7" 
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง 
ยิ่งในภาวะที่การชุมนุมร้อนแรงที่สนามหลวง เมื่อฝ่ายค้านโดดรับข้อเสนอที่เป็น "เงื่อนตาย" ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างที่กลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่เรียกร้อง หลับตาก็น่าจะจินตนาการได้ว่าเหตุการณ์นับแต่นี้จะเป็นอย่างไร
เมื่อถึงเวลานั้น ความชอบธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คงไม่เหลือหลอ 
เมื่อนั้น ก็เข้าสู่บทบัญญัติในมาตรา 7 
"เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" 
เพราะเมื่อรักษาการนายกรัฐมนตรีออก ก็ไม่รู้ว่าจะหาใครเข้ามา เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติรองรับ 
แต่หากไม่เกิดเหตุอะไร เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน ก็ยังมีอีกขยัก 
เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 98 บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งสิ้น 500 คน มาจากเขตเลือกตั้ง 400 คน จากระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน 
ขณะที่ มาตรา 74 กฎหมายเลือกตั้งนั้นระบุว่า หากเขตเลือกตั้งใดมีผู้สมัครเพียง 1 คน หากไม่ได้รับการเลือกตั้งถึงร้อยละ 20 ของผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น ให้ กกต.จัดการเลือกตั้งใหม่ 
ดังนั้น การตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมหาชน จึงมุ่งหวังให้เข้าข่ายตามกฎหมายกำหนด 
แต่ทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า เพื่อให้ ส.ส.ในสภา ไม่ครบ 500 คน หากแต่มุ่งหวังไปที่การตอกย้ำความไม่ชอบธรรม 
น่าเสียดายที่แนวทางที่ว่านั้น ชั่วข้ามคืนก็เปลี่ยนไป 
น่าเสียดายภาวะความเป็นผู้นำ และท่าทีอันแข็งกร้าวในภาวะคับขันของนายอภิสิทธิ์ 
โชคดีที่ คำว่า "ผมพร้อมรับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว" ไม่ได้พูดต่อหน้าสาธารณะ 
โชคไม่ดีที่เมื่อโอกาส-สถานการณ์เอื้ออำนวยให้แล้ว นายอภิสิทธิ์ กลับปล่อยไป 
ได้แต่ยืนมองดูเบื้องหลังของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำงานตามแนวทางของนายชวน หลีกภัย และเป็นแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ยินดี


 กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
  กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























 กระทู้ล่าสุด
 กระทู้ล่าสุด


 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday