สมคิด ออกโรงสอนมวยรัฐบาลใหม่

เปิดเผยในการปาฐกถา เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี การก่อตั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า คนไทยทั้งประเทศกำลังรอการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.นี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะถือว่าเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เพียงอย่างเดียวสำหรับไทย แต่เป็นปลายอุโมงค์ที่คดเคี้ยว บิดเบือน ยากจะหาทางออกได้ง่ายๆ แต่ยังดีที่มีช่องทางให้รอดออกไป ดีกว่ามีอุโมงค์ที่ไม่มีทางให้ออก
 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ปี 2551 ค่าเงินบาท ราคาน้ำมันแพง เศรษฐกิจสหรัฐฯซบเซา จะเป็นสัญญาณลบต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ต้องปฏิบัติดังนี้ 1. เลือกคนที่มีความสามารถเป็นรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาประเทศ 2. ประกาศนโยบายการค้า การลงทุนเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ให้ต่างประเทศและนักลงทุนรับรู้ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น 3. เป็นคนสตาร์ตเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนรัฐบาลให้เดินหน้า โดยกล้าอัดงบกระตุ้นการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินสู่รากหญ้า จัดทำงบประมาณขาดดุล 3 ปีล่วงหน้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
4. ให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่า ดัชนีเศรษฐกิจในแต่ละตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจมหภาคจะเติบโตต่อปีเท่าใด และจะให้การเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างไร 5. ฟื้นความร่วมมือด้านการลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆด้วยการขอความช่วยเหลือจากจีน และญี่ปุ่น

“ปี 2551 ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ภาคเอกชนจึงไม่ควรคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะแทรกแซงค่าเงินบาท แต่ควรใช้ช่วงเงินบาทแข็งค่าให้เป็นประโยชน์ด้วยการขยายการลงทุน แต่ปีนี้การลงทุนเอกชนไม่กระเตื้องขึ้น เพราะเกิดสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่มีความสามารถดึงต่างชาติมาลงทุน น่าเสียดายที่รัฐบาลคิดแค่ว่า เดี๋ยวก็เลือกตั้ง และรอส่งมอบงานให้รัฐบาลใหม่เท่านั้น”

นายสมคิดกล่าวว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ซบเซาและตกต่ำต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ขณะที่ธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2549 จึงถือว่าไทยเสียโอกาสในการเติบโตท่ามกลางกระแส การเติบโตของเศรษฐกิจโลกตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เพราะบรรยากาศทาง การเมือง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อในประเทศไม่เอื้อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากนัก.