นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า
ระเบียบหรือข้อห้ามที่ กกต.ออกมาครั้งนี้เป็นเหมือนลวดหนามที่ล้อมพรรคการเมืองขนาดกลางและพรรคที่เกิดใหม่ เพราะพรรคเหล่านี้มีบุคลากรทางการเมืองที่ถูกตัดสิทธิเข้าไปช่วยเป็นที่ปรึกษา เช่น พรรครวมใจไทยชาติพัฒนามีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พรรคเพื่อแผ่นดินมีนายพินิจ จารุสมบัติ และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ส่วนพรรคมัชฌิมาธิปไตยมีตนคอยช่วยเหลือแนะนำอยู่ พรรคเหล่านี้เป็นพรรคขนาดกลาง โอกาสที่จะได้ ส.ส.เข้ามาอาจจะมากถึงหลักร้อยด้วยซ้ำ และเมื่อไปรวมกับพรรคขนาดใหญ่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลก็จะเกิดสมดุลทางการเมือง
แต่เมื่อ กกต.มีมติเช่นนี้ก็ต้องบอกว่าโอกาสหมดสิ้นเลย
เมื่อพรรคขนาดกลางเหล่านี้เข้ามาไม่ได้ ถามว่าสมดุลทางการเมืองในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ผลที่จะเกิดคือเหลือเพียงพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคพลังประชาชนที่แยกออกเป็น 2 ขั้วเหมือนเดิม บ้านเมืองคงวุ่นวายไม่เลิก
“คนที่หวังดีทำทุกอย่างเพื่อช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความสมดุล แต่ กกต.กลับออกกฎมาย้ำอีก ผมบอกได้เลยว่าคนที่คิดวางหมากเกมนี้ ถ้าคิดจะวางแผนสกัดกั้นพรรคพลังประชาชน บอกได้เลยว่าผิดพลาดที่สุด และประชาชนจะเป็นผู้ที่เสียใจที่สุด เพราะบ้านเมืองจะวุ่นวายไม่เลิก แผนที่ออกมามันไปเข้าทางพรรคพลังประชาชนแบบเต็มๆ เพราะพรรคเขามีแค่นายสมัคร สุนทรเวช กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สองคนช่วยกันปราศรัยก็ชนะสบายแล้ว ตรงกันข้ามแผนนี้กลับเป็นพรรคขนาดกลางที่โดนเสียเอง และถ้ายังเป็นอย่างนี้บอกเลยว่าทางรอดที่เคยแก้ได้ง่ายๆด้วยพรรคการเมืองตอนนี้มันตันหมดแล้ว ถ้าจะแก้คงต้องไปหาทางใหม่ ผมวิเคราะห์เลยว่าบ้านเมืองจะถึงทางตัน พรรคเล็กพรรคน้อยจะไปไหนไม่ได้ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าแล้วอย่างนี้จะจัดตั้งรัฐบาลกันยังไง” นายสมศักดิ์กล่าว