นัก กม.ชี้ผ่าทางตันการเมืองต้องเลือกตั้งใหม่เท่านั้น

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2549 22:17 น.

นักวิชาการ ชี้ ทางออกการเมือง ต้องให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนเป็นโมฆะแล้วจัดให้เลือกตั้งใหม่เท่านั้น และเมื่อจัดการเลือกตั้งเสร็จสิ้น กกต.- รัฐบาลต้องลาออก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จากนั้นค่อยมีการกำหนดวาระปฏิรูปการเมืองให้ชัดเจนว่าต้องใช้ระยะเวลานานกี่เดือน จึงยุบสภาใช้กติกาใหม่

วันนี้ (26 เม.ย.) นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงทางออกทางการเมืองในตอนนี้ ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือจะต้องให้มีการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ โดยให้มีการเลือกตั้ง และอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านลงสู่การเลือกตั้ง ถึงแม้จะเป็นการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม ขณะเดียวกัน เสียงสภาก็จะต้องกำหนดภารกิจในเรื่องการปฏิรูปการเมืองให้ชัดเจนไปเลยว่าจะใช้กรอบระยะเวลาเท่าไหร่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการผู้นี้ กล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองไม่ได้มีความหมายแค่การแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว เพราะมีปัญหาในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายที่มีปัญหามาตลอด ซึ่งการทำจะต้องรู้ว่าสังคมมีปัญหาอะไร เราถึงจะรู้ว่าจะใช้การปฏิรูปการเมืองแก้ปัญหาจุดนั้นได้อย่างไร

ถึงแม้พรรคไทยรักไทยจะกลับมาเป็นรัฐบาล แต่ทางรัฐบาลในอนาคตจะต้องกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน และต้องหาความชอบธรรมให้ทุกคนยอมรับให้ได้เพื่อสร้างสังคมให้เข้มแข็งโดยให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับ กกต.จะต้องประกาศลาออกทันทีหลังจากจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่เสร็จสิ้น เพราะที่ผ่านมาเห็นชัดแล้วว่า กกต.พยายามทำงานสนองรัฐบาลมาโดยตลอด โดยเฉพาะการจัดการเลือกตั้งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่ในส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะต้องนำพระราชดำรัสไปหารือกันในแกนนำเพื่อทบทวนถึงการเคลื่อนไหวว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปโดยการเคลื่อนไหวจะต้องไม่พึ่งอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย

ด้าน นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ตนและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคนขอน้อมรับในกระแสพระราชดำรัส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาในการเสนอทางออก เพื่อดับวิกฤตทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสาเหตุของวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นมาจากการยุบสภาโดยไร้เหตุผล และไม่ชอบด้วยกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี

ใจกลางของปัญหาตอนนี้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการทางการเมืองที่ผิดพลาดมาโดยตลอด เมื่อพระองค์ทรงมีกระแสพระราชดำรัสแบบนี้ ก็เป็นที่ชัดแจ้งว่าเราทุกฝ่ายซึ่งเป็นพสกนิกรชาวไทยต้องน้อมรับกระแสพระราชดำรัส และเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า หากศาลมีคำสั่งให้การเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นโมฆะ ทางออกต่อไป คือ พ.ต.ท.ทักษิณ คณะรัฐมนตรี กกต.ต้องน้อมรับกระแสพระราชดำรัสด้วยการลาออกเช่นกัน แล้วให้บุคคลอื่นที่สามารถดำเนินงานต่อได้ด้วยความถูกต้องโปร่งใสมาดำเนินการการเลือกตั้งแทน นายสมเกียรติ กล่าว

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องมาตรา 7 ที่กลุ่มพันธมิตรฯได้เคยเสนอเป็นทางออกก็ต้องมีการนำมาทบทวนกันใหม่ ซึ่งมองว่า ทางออกของเรื่องในตอนนี้คงไม่ใช่มาตรา 7 แล้ว แต่จะเป็นการพิจารณาเรื่องการจัดการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นโดย กกต.และรัฐบาลชุดนี้มีความชอบธรรมและถูกต้องโปร่งใส และทำลายระบอบประชาธิปไตยไทยหรือไม่

นายบรรเจิด สิงคเนติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางด้านการเมือง โดยที่พระองค์ทรงไม่เห็นด้วยนั้น ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการเลือกตั้งที่มีปัญหายังคาราคาซังแบบนี้ ท้ายที่สุดกระบวนการใช้มาตรา 7 ก็จะเกิดขึ้นเองโดยปริยาย ดังนั้น ทางแก้คือเป็นหน้าที่ของศาลที่จะเข้ามาแก้วิกฤตเพื่อตัดตอนและลิดรอนการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมครั้งนี้ ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัส อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า รากมันก็ยังคงเหลืออยู่ ดังนั้น หากการเลือกจะตั้งจะมีขึ้นต่อไปโดยที่ไม่มีการแก้ปัญหาให้เรียบร้อยก็จะอีรุงตุงนังกันแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ศาลรวมตัวกันตั้งองค์กรปฏิรูปการเมืองขึ้น นายบรรเจิด กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะหน้าที่ของศาล คือ เป็นองค์กรที่คอยรับปัญหาที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามาถึงจะดำเนินการได้ แต่ศาลไม่มีหน้าที่ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งรูปแบบของศาลออกมาให้มีหน้าที่รับปัญหาเท่านั้น

ด้าน นายไชยันต์ ไชยพร หัวหน้าภาควิชาการปกครองคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ใครมีหน้าที่อะไรก็ให้กลับไปทำตามหน้าที่ของตนเอง ตนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ทุกอย่างมีกรอบของมันที่วางไว้อยู่แล้ว นี่คือ ทางออกที่ทุกคนต้องร่วมกันทำ