ยิ่งใกล้วันเปิดรับสมัครเลือกตั้ง บรรดาพรรคการเมืองก็ยิ่งมีความเคลื่อนไหวคึกคัก
พยายามสร้างโอกาสชนะเลือกตั้งให้มากที่สุด ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์ได้ทาบทามนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช มาร่วมงานด้วย และยังเตรียมส่งบุตรชายของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการ คมช. ลงสมัครส.ส.กทม. ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศยกเลิกรายการ “เปิดบ้านพิษณุโลก” ที่ออกอากาศทุกเช้าวันเสาร์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อให้พรรคการเมืองต่างๆได้ใช้เวลาของสถานีสำหรับชี้แจงประชาสัมพันธ์นโยบายพรรค
นายกฯปิดฉากรายการ เปิดบ้านพิษณุโลก
“สุรยุทธ์” กำชับ ขรก.วางตัวเป็นกลาง
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 27 ต.ค. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ ในรายการ “เปิดบ้านพิษณุโลก” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ถึงการเดินทางไปตรวจราชการที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า เป็นการประชุมข้าราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทย เพื่อเตรียมการสนับสนุนการเลือกตั้ง
เพราะเมื่อมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องมีการทำความเข้าใจว่าในฐานะเป็นข้าราชการจะต้องวางตัวเป็นกลางอย่างไร
คือต้องไม่ไปพูดหรือกระทำการสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างชัดเจน การสนับสนุนนั้นคงเป็นการอำนวยความสะดวกให้ กกต. ไม่ใช่สนับสนุนพรรค โดยบอกให้ตำรวจและข้าราชการไปศึกษากฎหมายให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และวางตัวเป็นกลาง ส่วนปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงนั้น ถ้ามีการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิให้มาก การซื้อ สิทธิขายเสียงจะไม่ค่อยมีผล เพราะคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเสียงจำนวนมาก ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยตั้งเป้าว่าอยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิอย่างน้อย 70 %
รับรองความปลอดภัยผู้แจ้งเบาะแส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การออกรายการ “เปิดบ้านพิษณุโลก” ครั้งนี้บันทึกเทปที่หมู่บ้านบางกระน้อย อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก โดยในช่วงท้ายเป็นการเปิดโอกาสให้ ชาวบ้านที่มาร่วมชมการบันทึกเทปรายการได้สอบถามปัญหาต่างๆ ปรากฏว่ามีผู้ใหญ่บ้านถามถึงเรื่องบทลงโทษการซื้อสิทธิขายเสียง พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า กฎหมายเลือกตั้งใหม่มีโทษทั้งปรับ และจับผู้ซื้อผู้ขาย
เมื่อถามว่า มีหลักประกันอะไรให้ชาวบ้านเกิดความมั่นใจว่าเมื่อแจ้งข้อมูลการซื้อเสียงแล้วจะไม่ถูกทำร้ายในภายหลัง พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า กกต.จะดูแลเรื่องการปกปิดข้อมูล และปกปิดผู้ให้ เบาะแส การแจ้งข้อมูลที่ปลอดภัยที่สุดคือการใช้โทรศัพท์ อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส ไม่ อยากให้บ้านเมืองมีปัญหาวนเวียนอยู่อย่างเดิมตลอด เมื่อชาวบ้านถามว่า ถ้ามีเบาะแสการซื้อสิทธิขายเสียง นายกฯจะมีรางวัลให้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า “ผม ไม่มีรางวัลนะครับ ผมแจกไม่ไหว แต่ กกต.มีรางวัลให้”
ปิดฉากรายการ “เปิดบ้านพิษณุโลก”
นายกฯกล่าวด้วยว่า เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งแล้ว ก็ค่อนข้างรู้สึกกังวลกับบทบาทของตัวเองซึ่งอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นรัฐบาลรักษาการควรจะทำอย่างไร คิดว่าช่วงเวลาต่อไปนี้คงต้อง เปิดให้พรรคการเมืองเข้ามาใช้เวลาของช่อง 11 นำไปใช้ ประโยชน์ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจว่าแต่ละพรรคการเมืองมีแนวทางมีนโยบายสำคัญอะไร
ความจริงตนยังไม่อยากหยุดรายการนี้ เพราะเหมือนเป็นหน้าต่างที่ทำให้มีโอกาสพูดจากับประชาชน แต่เมื่อนึกถึงความจำเป็นของพรรค การเมือง และถ้าพูดไปแล้วไปกระทบคนโน้นคนนี้ก็ไม่ดี หากเป็นไปได้จะขอระงับรายการเปิดบ้านพิษณุโลกไว้ที่จ.พิษณุโลก วันนี้เมื่อตัดสินใจแล้วคงขอฝากไว้สั้นๆว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงเป็นส่วนสำคัญที่จะชี้อนาคตของบ้านเมือง และเป็นอนาคตของท่านเองส่วนหนึ่งด้วย