ประสงค์ตามบี้ เขายายเที่ยง ไม่เลิก

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่รัฐสภาได้มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการการตำรวจและสิทธิมนุษยชน สนช. มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานฯ

เพื่อพิจารณากรณีมีผู้ร้องเรียนนายกฯบุกรุกที่ดินเขายายเที่ยง จากนั้น น.ต.ประสงค์ให้สัมภาษณ์ว่า คณะทำงานที่ลงพื้นที่ตรวจสอบได้รายงานข้อมูล พร้อมนำภาพถ่ายแผนที่ และ พ.ร.บ.ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาด้วย โดยจะมีการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมแผนที่ทหารบกต่อไป เพื่อดูว่าหน่วยงานเหล่านี้มีการดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เมื่อถามว่า มีการระบุว่าจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบด้วย น.ต.ประสงค์ตอบว่า คงให้ผู้ที่เคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ เพราะมีประเด็นใหม่เพิ่มเติมเข้ามา เมื่อถามว่า มีผู้เคยยื่นไปแล้วแต่ ป.ป.ช.ไม่รับฟ้อง น.ต.ประสงค์ตอบว่า ขณะนี้กำลังสอบผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีประเด็นใหม่เพิ่มเติม ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันอยู่ โดยกรณีนี้เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในวันที่ 23 ต.ค.นี้


ที่นายกฯอยู่ในเขตลุ่มน้ำชั้นหนึ่ง


นายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ เลขานุการอนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า วันที่ 19 ต.ค.นี้ จะไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่กรมแผนที่ทหาร กรมที่ดิน กรมทรัพยากรป่าไม้ เพราะจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเบื้องต้นมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า บ้านพักของนายกฯอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน แต่ต้องรอการชี้ชัดจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าวว่าเป็นป่าในลักษณะใด โดยมีข้อสังเกตว่า นอกจากเป็นป่าสงวนแล้ว บริเวณโดยรอบของป่านั้นเป็นเขตหวงห้ามของกระทรวงกลาโหม ที่ผ่านมาทางกรมป่าไม้ได้นำพื้นที่ป่าหลายแห่งไปออกเป็น สปก. แต่ได้กันพื้นที่ที่มีสภาพป่าหรือไม่มีศักยภาพทางการเกษตร พื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ต้นน้ำลำธารเอาไว้ ซึ่งเขายายเที่ยงอยู่ในโซนซี เป็นเขตป่าอนุรักษ์ เขตลุ่มน้ำชั้น 1 หรือ 2 เพราะเป็นต้นน้ำของห้วยน้ำขาวที่ไหลลงลำตะคอง ซึ่งตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 54 ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับ 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ

พบประเด็นใหม่แจ้งบัญชีเป็นเท็จ

นายชุมพล สังข์ทอง คณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า คณะอนุกรรมาธิการฯได้พบประเด็นใหม่คือ การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายกฯอาจเป็นเท็จ เนื่องจากมีการตรวจสอบพบว่ามีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองบ้านเลขที่ 10 หมู่ 6 เขายายเที่ยง จาก พล.อ.สุรฤทธิ์มาเป็นนายจุล จุลานนท์ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2549 ซึ่งการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครอง ภายหลังจากที่นายกฯแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หลังการเข้ารับตำแหน่งนายกฯ และไม่ได้มีการแจ้งการถือครองที่ดินดังกล่าวต่อ ป.ป.ช. แต่ในภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบ นายกฯกลับยืนยันว่าได้เข้าไปถือครองตั้งแต่ปี 2535 จึงเชื่อว่าน่าจะมีการปกปิดและแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ประเด็นนี้สามารถส่งให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเพิ่มเติมได้ และหากไม่ดำเนินการจะถือว่าเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์