ยุบสภา การถอยสู่กับดักตัวเองของทักษิณ
โดย จิตตนาถ ลิ้มทองกุล 25 กุมภาพันธ์ 2549 19:40 น.
ปฏิบัติการยุบสภาชนิดสายฟ้าแลบของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 24 ก.พ. 2549 พร้อมกับการรับลูกทันควันอย่างน่ากังขาของ กกต. ที่ประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่งนับเวลาได้เพียง36วันจากวันยุบสภา โดยมีความพยายามจะให้มีการเปิดสภาภายในวันที่ 2 พ.ค. 2549 สะท้อนถึงการวางแผนเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากตั้งรับกลับมาเป็นฝ่ายมัดมือชกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชัดเจนที่สุด
กุนซือการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรล้วนมั่นใจว่าการทิ้งไพ่ครั้งนี้เป็นการกินรวบหลายเด้งด้วยกัน เด้งแรกทำให้ความชอบธรรมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนทั่วไปที่จะชุมนุมเพื่อขับไล่นายกทักษิณหมดไปทันที หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะมีเสียงอ่อนลงเพราะมั่นใจว่าประชาชนจำนวนหนึ่งอาจจะมองว่าการยุบสภาก็ถือเป็นการถอยของทักษิณและพวกพ้องที่น่าพอใจแล้วซึ่งสามารถใช้มาตรการการเลือกตั้งเป็นการตัดสินได้
หมัดเด็ดที่สุดคือแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีที่เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่นโดยการอ้างว่าจำต้องยุบสภาก่อนเพราะห่วงความปลอดภัยของประชาชนหากมีการเผชิญหน้ากัน อาจส่งผลให้เกิดการนองเลือดเหมือนกรณีพฤษภาทมิฬได้อันเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบให้พ้นตัวหากมีคนมาป่วนให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น (ซึ่งเข้ากับแผนมือที่สามที่ฝ่ายตนได้นำเจ้าหน้าป่าไม้จากภาคเหนือลูกน้องนายยงยุทธ ติยะไพรัตน์มาแสตนบายไว้แล้ว)
นอกจากนี้หากมีการใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่ก็จะอ้างว่าเป็นความผิดของกลุ่มพันธมิตรที่ดื้อดึงพาคนไปเสียเลือดเนื้อเอง ซึ่งเป็นยุทธวิธีทางจิตวิทยาที่จะขู่ให้คนกลัวไม่กล้าไปชุมนุมในวันนี้วันอาทิตย์ที่ 26 ก.พ. 2549
เด้งที่สอง เป็นการสยบกำลังของแต่ละกลุ่มแต่ละวังภายในพรรคไทยรักไทยชนิดหักเหลี่ยมโหดจากที่เคยคุยฟุ้งด้วยความมั่นใจปาวๆว่า ถ้าตนจะยุบสภาจะแจ้งให้ลูกพรรคทราบก่อนอย่างน้อย90วัน ใครไม่อยากอยู่ใครจะไปไหนก็เชิญได้ตามสบาย อย่าแปลกใจหากใครที่ขับรถผ่านที่ทำการพรรคไทยรักไทยแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ในช่วงนี้แล้วเกิดได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างทุรนทุรายกันเป็นแถวจากบรรดาส.ส.ที่โดนหักคอ
เด้งที่สาม เป็นการใช้แทคติกชิงออกสตาร์ทนำหน้าพรรคการเมืองคู่แข่งที่ยังไม่ทันตั้งตัวผสมกับความที่ตนเองได้เปรียบอยู่แล้วทั้งในเรื่องเงินทุน การใช้อำนาจรัฐและองค์กรอิสระเข้าแทรกแซง ซึ่งสะท้อนได้ชัดจากการออกอาการของบรรดาแกนนำพรรคฝ่ายค้านทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคมหาชนที่มีผู้เสนอให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งในครั้งนี้
เด้งที่สี่เป็นการชิ่งหนีความผิดของตัวเอง ปกป้องผลประโยชน์และหลบเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบกรณีดีลชินคอร์ป-เทมาเส็กที่กำลังจนแต้มไม่สามารถหาคำตอบให้กับสังคมได้ รวมไปถึงสร้างสภาวะสุญญากาศของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ข้อได้เปรียบเหล่านี้เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างชัดเจนว่ากระทำการยุบสภาเพื่อตัวเองโดยไร้ซึ่งความจริงใจทางการเมือง จากที่โดยทั่วไปแล้วการประกาศยุบสภาของรัฐบาลจะมีด้วยกันอยู่สองกรณี กรณีแรก รัฐบาลแพ้เสียงในสภา ซึ่งรัฐบาลทักษิณมีเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึง375เสียงทำให้สภาไม่อาจอภิปรายได้แม้แต่รัฐมนตรีซึ่งขัดกับหลักการข้อนี้ยิ่งนัก กรณีที่สองเกิดความวุ่นวายหรือเสียงแตกในสภากรณีเป็นรัฐบาลผสมซึ่งก็ไม่ใช่อีกเพราะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ทั้งสองกรณีดังที่กล่าวมาจะเห็นได้ชัดว่าสภาไม่ได้มีปัญหาปัญหาแต่ที่แท้จริงคือนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว เมื่อนายกลาออกแล้วจะเอื้ออำนวยให้มีการปฏิรูปทางการเมืองโดยให้ภาคประชาชนเข้าร่วมได้อย่างเต็มที่
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังอ้างถึงการไม่ยอมให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายซึ่งหมายถึงกลุ่มประชาชนที่รักชาติที่ชุมนุมกันทั่วประเทศโดยตรงเพื่อกดดันให้ตนลาออกก็เป็นเรื่องไม่จริงอีกเพราะว่าการชุมนุมแต่ละครั้งล้วนเป็นการชุมนุมโดยสันติภายใต้สิทธิ์ที่ประชาชนพึงมีตามระบอบประชาธิปไตยและแต่ละครั้งก็ไม่เคยเกิดความรุนแรง
ในทางตรงกันข้ามรัฐกลับเป็นฝ่ายที่จะใช้กฎหมู่เสียเองไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐพยายามก่อกวนขัดขวางการชุมนุมทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการตัดไฟ ไม่ให้ใช้สถานที่ ส่งตำรวจมาขู่ ส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาก่อกวน ปาระเบิดในที่สาธารณะ ส่วนที่น่าเกลียดมากกว่าคือการอ้าง19ล้านเสียงที่เลือกตั้งเข้ามาว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่แล้วออกกฎหมายเอื้อพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง
ความไม่เป็นลูกผู้ชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สะท้อนได้ชัดเจนจากการกล่าวอ้างว่าใช้การยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนแต่กลับไม่กล้าพอที่จะขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่เป็นคนกลางมารักษาการเพื่อให้เกิดความเป็นกลางที่สุดนับแต่วันที่ประกาศยุบสภาจนถึงวันเลือกตั้ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเว้นวรรครายการนายกทักษิณคุยกับประชาชนนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามหากมองในมุมกลับหมากการยุบสภาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มองว่าเป็นการชิงเปลี่ยนสถานะสู่ความได้เปรียบนั้นแท้ที่จริงกลับเป็นการเดินสู่กับดักทางการเมืองของตัวเอง เป็นการปิดทางรอดสุดท้ายที่ตนเองพึงจะรักษาสถานะยืนอยู่ในสังคมไทยได้บ้างด้วยการลาออก คำกล่าวอย่างขึงขังเมื่อวันที่7ก.พ. 2549 ว่า ถ้าผมยุบสภาเท่ากับทรยศต่อประชาชน กับความเป็นจริงในเหตุการณ์ปัจจุบันที่ฟ้องอยู่จึงเป็นการประจานตัวเองได้อย่างชัดเจนที่สุด
การเรียกคะแนนสงสารจากประชาชนด้วยการประกาศยุบสภาแล้วโบ้ยความผิดไปให้กลุ่มผู้คัดค้านนั้นแท้ที่จริงแล้วมีผลจำกัดอยู่กับแค่คนกลุ่มเดิมๆเพียงกลุ่มเดียว ที่มักจะโดนสื่อของรัฐกรอกหูและปิดหูปิดตาโดยเฉพาะทีวี แต่กลับไร้ผลโดยสิ้นเชิงกับประชาชนผู้รักชาติทั่วประเทศที่เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาธิปไตย นักเรียนนักศึกษาทั้งขายาวขาสั้น ครูอาจารย์แทบจะทุกสถาบันที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดทุกหัวระแหงเพื่อเรียกร้องให้ ทักษิณ ลาออกจากนายกเพราะหมดความชอบธรรม
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือกลุ่มผู้ชุมนุมกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก แนวคิดของคนเหล่านี้ล้วนไม่ยอมรับให้ทักษิณถอยด้วยการยุบสภาตั้งแต่ต้น มีเพียงทักษิณจะยอมลาออกเอง หรือจะให้ประชาชนเป็นผู้ไล่ออกไป
เห็นได้ชัดว่าทีมกุนซือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังตีโจทย์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายไม่แตก รวมถึงดูถูกสติปัญญาของคนไทยด้วยกันมากเกินไป
การใช้มุกเดิมๆเพื่อเบี่ยงประเด็นนั้นจึงใช้ไม่ได้ผลอีกเนื่องด้วยความจริงใจที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชนอย่างแท้จริงไม่มี ที่ชัดเจนที่สุดคือความไม่มีน้ำใจนักกีฬาในการขอรัฐบาลพระราชทานและการหักคอเร่งรัดวันเลือกตั้งดังที่กล่าวข้างต้น เมือทุกคนต่างรู้ทันทักษิณกันหมดแล้วจึงไม่มีใครยอมเดินตามกติกาโกงๆของคนเหลี่ยมจัดอีกต่อไปตรงกันข้ามกลับจะมีผู้ที่เหลืออดกับพฤติกรรมหน้าด้านหน้าทนแล้วตัดสินใจออกมาร่วมมากขึ้น เรื่องนี้กลับเป็นการเติมเชื้อไฟให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว อย่างเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดในการขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นจึงเป็นที่แน่ใจได้ว่าแรงสะท้อนจากการรุกที่มีการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดของฝ่ายทักษิณกำลังจะสะท้อนกลับไปคืนสนองต่อตนเองแล้ว จะกี่เด้งไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าย่อมส่งผลให้มีอันต้องได้เด้งออกจากประเทศไทยอย่างแน่นอนที่สุด และรวดเร็วกว่าที่คิดมากนัก