บ่ายวานนี้ (7 ต.ค.)
ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตยและสมาพันธ์ประชาธิปไตย จัดงานเสวนา “จาก 6 ตุลาคม 19 ถึง 19 กันยายน 49 มิติและความหมายทางการเมือง” โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังกว่า 100 คน
โดยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า
การทำรัฐประหารในวันที่ 6 ต.ค. 2519 และ วันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น ไม่แตกต่างกัน คือมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนเพื่อหวังต่อสู้ และมีการออกข่าวผ่านสื่อมวลชนบางสำนัก ให้ใส่ร้ายป้ายสีโจมตีฝ่าย ตรงข้าม แบบไม่มีสามัญสำนึก ผลที่เกิดขึ้นตามมา คือการตั้งรัฐบาลแบบขวาจัดเข้ามาบริหารประเทศ ที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ อย่างที่เห็นชัดว่ามีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลลาออกไปถึง 5 คน
นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ นปช. กล่าวว่า
การรัฐประหารที่เกิดขึ้น เพราะว่ามีกลุ่มพลังที่ไม่ ประสงค์ให้สังคมไทยพัฒนาไปข้างหน้า เพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์ กลัวสูญเสียอำนาจ ประชาชนผู้รวมตัวที่สนามหลวง ถือว่าเป็นขบวนการมหาประชาชน ที่ประกาศเป็นศัตรูกับคนที่ไปรับใช้ทรราช ไม่เว้นแต่คนเดือนตุลาที่เข้าไปร่วมกับฝ่ายรัฐประหาร มองว่าคนเหล่านั้นไม่ควรที่จะออกตัวว่าเป็นคนเดือนตุลาอีกต่อไป
เช่นเดียวกับนายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐ-ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า
คนเดือนตุลาที่เข้าเป็นพวกกับฝ่ายรัฐประหาร ถือได้ว่าเป็นคนที่ทรยศประชาชนและประชาธิปไตย ส่วนคนเดือนตุลาที่ยังอยู่ ฝ่ายตรงข้าม และมีประชาชนที่ท้องสนามหลวงเข้าร่วมนั้น ได้ชื่อว่าเป็นขบวนการมหาประชาชน เป็นผู้พัฒนากระบวนการประชาธิปไตยแบบโลกานุวัตน์ เป็นขบวนการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีอำนาจใดปราบลงได้