ปชป.ชี้ผู้นำเว้นวรรควิกฤติปท.ยังอยู่ -แนะล้มระบอบทักษิณ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2549 12:57 น.

พรรคประชาธิปัตย์ ชี้วิกฤตปัญหาบ้านเมืองยังไม่หมด แม้แม้วประกาศเว้นวรรคแต่ระบอบทักษิณยังคงอยู่ ระบุทางแก้ปรับโครงสร้างการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม พร้อมคัดสรรผู้นำที่มีจริยธรรมมาบริหารประเทศ จวกกกต.ทำงานมีความเป็นที่สุด4ข้อถูกฟ้องมาก-โกงเลือกตั้งเยอะ-ถูกแทรกแซง-สื่อสับเละที่สุด

วันนี้(16 เม.ย.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทางพรรคได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้พบว่า มีวิกฤตหลายด้านที่มีแนวโน้มยังไม่มีทางแก้ไข แม้จะมีรัฐบาลรักษาการและรัฐบาลในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นปัญหาใหญ่ เรื่องของจริยธรรมและคุณธรรมของผู้นำประเทศ การใช้อำนาจรัฐครอบงำองค์กรอิสระ การบิดเบือนกฎหมายด้วยการตีความเข้าข้างผู้มีอำนาจ การทำลายอำนาจรัฐที่ถูกใช้เพื่อประโยชน์ของคนในรัฐบาลมากกว่าประชาชน รวมถึงการจัดสรรประโยชน์ให้กับบุคคลใกล้ชิด การประสานประโยชน์เฉพาะหน้าเฉพาะหน้าให้บุคคลในระดับรากหญ้าเรื่องนโยบายประชานิยม เพื่อสร้างฐานเสียงให้กับพรรคการเมือง การหาผลประโยชน์ทับซ้อน และการปลูกฝังค่านิยมฟุ่มเฟือยในสังคม

วิธีการแก้ไขปัญหาจะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้กลไกต่างๆได้คลี่คลาย นอกจากนี้ยังเห็นว่าบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ แต่ควรจะเน้นที่จริยธรรม คุณธรรม รวมถึงเป็นที่ยอมรับของสังคม โดยไม่เข้าไปเสริมสร้างอำนาจให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในช่วงที่จะปฏิรูปการเมืองนายองอาจกล่าว

ด้าน นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประมวลการทำงานของกกต.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการแก้ปัญหาในฐานะองค์กรอิสระ มีความเป็นที่สุด 4 ข้อ คือ 1.เป็นองค์กรอิสระที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วองค์กรอิสระจะไม่ถูกฟ้องร้อง เพราะส่วนใหญ่จะเคารพในการตัดสิน 2.กกต.ยังปล่อยให้มีการทุจริตและกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากที่สุด 3.เป็นองค์กรที่ถูกแทรกแซงมากที่สุด 4.เป็นองค์กรที่สื่อมวลชนและประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบมากที่สุด

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2549 13:58 น.

สุเทพ เทือกสุบรรณสอนมารยาทการเมือง ชี้ครม.รักษาการไม่ควรอนุมัติการเมกะโปรเจกต์ ชี้ไม่เหมาะสมเพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีระยะผูกพันยาว หวั่นเอื้อประโยชน์ต่างชาติฮุบสมบัติประเทศ แนะควรทบทวนและเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยก่อน ยันพรรคไม่ขัดขวางแต่ไม่เชื่อกระบวนการโปร่งใสจริง

วันนี้(16 เม.ย.)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี จะผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 18 เมษายนนี้ ว่า โดยมารยาทแล้วรัฐบาลรักษาการจะไม่อนุมัติโครงการขนาดใหญ่ และตนอยากฝากข้อสังเกตว่า การดำเนินการใด ๆ ก็ตาม ควรต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศและประชาชนไทยเป็นหลัก ฉะนั้นการที่จะให้ใครมาทำโครงการเมกะโปรเจกต์ควรเปิดโอกาสให้นักลงทุนในประเทศไทยก่อน เพราะในที่สุดคนทำคือคนไทย เหตุใดจึงให้ชาวต่างประเทศมาฮุบเอาประโยชน์ ซึ่งหลายคนวิจารณ์ว่าลักษณะการตั้งแนวทางไว้อย่างนี้เสมือนกับการขายสัมปทานประเทศไทยให้กับชาวต่างประเทศ

รัฐบาลต้องระวัง ต้องชี้แจงกับประชาชนให้ชัด ซึ่งผมเห็นว่าเวลาสั้น ๆ ทำไม่ได้ และที่สำคัญการจัดซื้อจัดจ้างโครงการเหล่านี้ควรต้องมีความโปร่งใสเป็นมาตรฐาน จะเอาอำนาจบาตรใหญ่เข้ามาเป็นตัวกำหนดไม่ได้ เพราะการก่อสร้างนี้มีผลกระทบต่อประเทศไทยในระยะยาว จะต้องหาเงินไปใช้หนี้ใช้สิน ดังนั้นเมื่อผูกพันกับประเทศชาติเป็นภาระของประชาชน ข้อสำคัญคือว่าจะต้องไม่มีผู้ได้รับประโยชน์ กินหัวคิวเรื่องนี้แล้วกลับบ้านไปไหนแล้วไม่รู้ แต่ทิ้งให้ประเทศชาติและประชาชนรับกรรม และที่สำคัญที่สุดอยากถามว่า มั่นใจแล้วหรือยังว่า โครงการเมกะโปรเจกต์จำเป็นสำหรับประเทศไทยทุกโครงการ ผมรู้สึกมันง่ายเกินไป การศึกษาให้ชัดเจนก็ไม่มี การทำความเข้าใจกับประชาชนก็ไม่ชัด ผมคิดว่าควรจะมีการทบทวนเรื่องนี้นายสุเทพ กล่าว

ต่อข้อถามว่าเกรงหรือไม่ว่าจะถูกมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น นายสุเทพ กล่าวว่า หากเป็นเรื่องที่จำเป็นพรรคไม่ขัดขวางอยู่แล้ว โดยเฉพาะกรณีระบบขนส่งมวลชน แต่จะต้องดูว่าทั้งหมดมีกี่โครงการกันแน่ พออ้างเมกะโปรเจกต์มีรถไฟฟ้านำหน้า แต่ที่พ่วงหลังตามมามีอีกมากมาย ดังนั้นจะต้องชัดเจน โดยสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เชื่อว่าไม่มีใครขัดขวาง

ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรรีบเร่งที่จะนำโครงการเมกะโปรเจกต์เข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี เพราะขณะนี้ยังเป็นรัฐบาลรักษาการ และยังอยู่ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง อีกทั้งยังเป็นรัฐบาลที่อยู่ในภาวะวิกฤติที่ขาดความเชื่อถือและเชื่อมั่นจากประชาชน จึงไม่ควรดำเนินการอะไรในเชิงนโยบาย แม้จะเห็นผลว่า จะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่ต้องยอมรับความจริงว่า อยู่ในสภาวะรัฐบาลรักษาการ จึงไม่ควรดำเนินโครงการใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดการติฉินนินทา

คิดว่าข้ออ้างเรื่องเสียงเรียกร้องของนักธุรกิจน่าจะเป็นเสียงของนักธุรกิจที่วิตกว่าอำนาจอาจจะเปลี่ยนถ่ายมือไปจากรัฐบาลนี้ จึงเร่งที่จะผลักดันโครงการใหญ่ ๆ อย่างไรก็ตามยอมรับว่า โครงการรถไฟฟ้าจำเป็นเร่งด่วน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น ต้องไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์เหมือนที่ผ่านมาที่มีการหาประโยชน์ และมีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นมากมายโฆษกปชป.กล่าว