รายงานพิเศษ : กกต.ลาออกเถอะ!!

รายงานพิเศษ : กกต.ลาออกเถอะ!!

พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2549 15:36 น.

นับแต่ กกต.ชุดปัจจุบันทำงานมา แทบไม่เคยเห็นเสียงชื่นชมสักครั้งว่า ทำงานเข้าตา-รวดเร็ว-ถูกต้อง-เป็นกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกจากสังคม ล้วนเป็นไปในทางตรงข้ามทั้งสิ้น ข้อครหาต่อ กกต.ชุดนี้ หนักหนาถึงขั้น เป็น นอมินี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพรรคไทยรักไทยเลยด้วยซ้ำ เพราะพฤติกรรมและท่วงทำนองการทำงานหลายครั้งหลายครา ตอกย้ำความเอนเอียงอย่างชัดเจน ....ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาต่อ กกต.ในขณะนี้ อย่าถามหาความรับผิดชอบจาก กกต.เลย เพราะแม้แต่สำนึก-หน้าที่ที่พึงมี กกต.ยังรักษาไว้ไม่ได้เลย

แม้ว่า กกต.จะย่อมาจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่ยามนี้ ผลงานของ กกต. ที่พยายามจัดการเลือกตั้ง เพื่อให้เผด็จการรัฐสภาไทยรักไทยครบ 500 เพื่อเปิดประชุมสภาได้ ก็ทำให้ผู้คนทั่วประเทศตั้งฉายาให้ กกต. แตกต่างกันไป บ้างก็เรียกว่า คณะกรรมการโกงการเลือกตั้ง บ้างก็ว่า คณะกรรมการลากตั้ง เป็นต้น

กกต.อาจรับไม่ได้หรือไม่ยอมรับฉายาที่ใครต่อใครตั้งให้ เพราะ กกต.ยืนยันนั่งยันมาตลอดว่า ตนทำงานด้วยความเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างใคร โดยเฉพาะรัฐบาลไทยรักไทย แต่หากมองย้อนกลับไปดูท่วงทำนองและความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลายกรณีสะท้อนว่า รัฐบาลและ กกต. ทำงานสอดประสานกัน ถึงขั้นอาจเรียกได้ว่า เอื้อประโยชน์ให้กัน ถ้าพูดให้แคบเข้า อาจยังไม่ชัดว่า กกต.ได้ประโยชน์จากรัฐบาลอย่างไร แต่รัฐบาลได้ประโยชน์จาก กกต.แน่และหลายครั้ง!

ย้อนกลับไปดูท่วงทำนองการทำงานของ กกต. ที่ถูกครหาว่า ทำงานไม่เข้าตาและเกิดความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ไล่ตั้งแต่การเลือกตั้ง ส.ส. 6 ก.พ. 2548 ที่ได้รับการกล่าวขานว่า มีฝนตกห่าใหญ่ทั่วประเทศหรือมีการทุจริตเลือกตั้งกันอย่างมโหฬารที่สุด ซึ่งผลก็คือ พรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ ส.ส.มากถึง 377 คน แต่ปรากฏว่า กกต.ชุดปัจจุบัน คือ ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน กลับมีผลงานให้ใบเหลือง-ใบแดงผู้สมัครได้แค่ 5 ใบ ผิดกับ กกต.ชุดก่อนหน้านี้ที่มีธีรศักดิ์ กรรณสูต เป็นประธาน และมีทีมงานอย่างสวัสดิ์ โชติพานิช ,จิระ บุญพจนสุนทร ,ยุวรัตน์ กมลเวชช และโคทม อารียา ซึ่งทำงานเข้าตาและได้รับฉายาว่า 5 เสือ กกต. ผลงานของ กกต.ชุดนั้นเรียกได้ว่า แจกใบเหลือง-ใบแดงกันสะบั้นหั่นแหลก ผิดก็ว่ากันไปตามผิด ไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังได้รับเสียงชื่นชมเรื่องทำงานเร็วอีกด้วย

สำหรับ กกต.ชุดปัจจุบัน อาจออกตัวได้ว่า ขณะนี้จะให้ทำงานเร็วได้อย่างไร ในเมื่อ กกต.เหลืออยู่ 4 คน คือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ,ปริญญา นาคฉัตรีย์ ,วีระชัย แนวบุญเนียร และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ส่วน จรัล บูรณพันธุ์ศรี เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ย. 2548 ซึ่งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่พยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยการสรรหา กกต.มาแทนนายจรัล เพื่อให้ กกต.ครบ 5 คนแต่อย่างใด การสูญเสียนายจรัลซึ่งมีภูมิหลังด้านตุลาการ จึงไม่เพียงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานและการวินิจฉัยของ กกต.ด้อยลง แต่ยังทำให้ตัวถ่วงดุลหรือตัวคานอำนาจใน กกต.ลดน้อยลงอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะ กกต.ชุดนี้ส่วนใหญ่ถูกมองว่า ทำงานเอาใจรัฐบาล จึงไม่แปลก ถ้ารัฐบาลจะรู้สึกพอใจที่ กกต.มีแค่ 4 ไม่ใช่ 5 หวังว่า...นี่คงจะไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้รัฐบาลไม่กระตือรือร้นที่จะเดินหน้ากระบวนการสรรหา กกต.ทดแทนนายจรัล

นอกจากเรื่องบุคลากรแล้ว ในแง่การทำงาน กกต.ชุดนี้ก็ได้ทำผิดใหญ่หลวง ด้วยการออกระเบียบขึ้นเงินตัวเอง แต่กลับยังไม่ได้รับการลงโทษและลาออกดังเช่นที่ ป.ป.ช.(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ได้ถูกดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ ไม่แค่นั้น กกต.ชุดนี้ยังทำงานผิดพลาดอีกหลายครั้งหลายหนในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น จนถูกผู้สมัครร้องเรียนและฟ้องต่อศาลแล้วหลายกรณี บางกรณี กกต. มีมติให้ใบแดงผู้สมัครไปแล้ว แต่พอสั่งเลือกตั้งใหม่กลับให้ใบเหลือง ทำให้ผู้สมัครคนนั้นกลับมาสมัครได้ใหม่ แถมได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกต่างหาก บางกรณี กกต. หมดสิทธิให้ใบแดงแล้ว เพราะพ้น 1 ปีหลังเลือกตั้ง แต่ กกต.ก็ยังมีการให้ใบแดง จึงถูกฟ้องร้อง เป็นต้น

ตัวอย่างความผิดพลาดของ กกต.ที่พูดมา แม้ไม่น่าเชื่อว่าสังคมจะยอมรับได้ และไม่น่าเชื่อว่า กกต.จะทนทำงานอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป แต่จนแล้วจนรอด กกต.ก็ทน และสังคมก็ทนทำใจเช่นกัน กระทั่ง กกต.ชุดนี้ ได้มาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งครั้งใหญ่อีกครั้งให้กับการยุบสภาที่ไม่ชอบธรรมของนายกฯ ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่ล้มสภาทิ้งทั้งที่ไม่ได้มีความผิดอะไร เพื่อให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ โดยหวังให้ประชาชน 19 ล้านเสียงช่วยฟอกตัวให้ตนกลับมาสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องอีกครั้งหลังถูกสารพัดข้อกล่าวหา โกงแผ่นดิน-ซุกหุ้น-ขายหุ้น-ขายสมบัติชาติ!

แค่ยุบสภายังไม่สะใจ พ.ต.ท.ทักษิณพอ กลับฉวยโอกาสกำหนดวันเลือกตั้งแบบด่วนจี๋ คือ วันที่ 2 เม.ย.หรือหลังยุบสภาแค่ 37 วัน ทั้งที่กฎหมายให้เวลาไว้ถึง 60 วัน แน่นอน เหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณยกขึ้นมาอ้างเพื่อความชอบธรรมในการต้องเลือกตั้งเร็ว ก็ไม่พ้นสถาบันหรือเบื้องสูง! นั่นคือ ต้องมีรัฐบาลก่อนงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่มีรัฐบาล เกรงว่าจะไม่สง่างาม!!?

นายปริญญา นาคฉัตรีย์

ผลจากการยุบสภาที่ไม่ชอบธรรม บวกการเร่งรัดวันเลือกตั้ง ทำให้พรรคฝ่ายค้านคว่ำบาตรด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ขณะที่ประชาชนหลายภาคส่วนก็เคลื่อนไหวรณรงค์คัดค้านการเลือกตั้ง 2 เม.ย.กันอย่างกว้างขวางและหนักหน่วง พร้อมไปกับการเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณลาออก เพื่อรับผิดชอบการขายหุ้น-ขายสมบัติชาติ ไม่ใช่ใช้การเลือกตั้งฟอกตัว แม้ กกต.จะอยู่ในฐานะที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์การเลือกตั้งที่เร็วและรวบรัดครั้งนี้ได้ ด้วยการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปตามที่บางฝ่ายเสนอ เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านมีเวลาเพียงพอที่จะส่งผู้สมัคร แต่ กกต.ก็หาได้ใยดีต่อข้อเสนอนั้นไม่ และเมื่อถึงวันเลือกตั้ง 2 เม.ย. ประชาชนที่ไปใช้สิทธิต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน เมื่อพบว่า มีการเปลี่ยนทิศคูหาลงคะแนน โดยให้ประชาชนหันหน้าเข้าด้านใน ไม่ใช่หันหน้าออกด้านนอก ไม่แค่นั้นยังมีการติดรูปและหมายเลขผู้สมัครที่ฝาผนังด้านในคูหา เพื่อให้ประชาชนดูก่อนลงคะแนน โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการชี้นำผู้ใช้สิทธิ แม้หลายฝ่ายจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเปลี่ยนทิศคูหาถือเป็นการละเมิดสิทธิผู้ลงคะแนนอย่างชัดเจน เพราะความลับในการลงคะแนนไม่เป็นความลับอีกต่อไป และอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้สิทธิได้ แต่ กกต.ก็อ้างหน้าตาเฉยว่า เปลี่ยนทิศคูหาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้สิทธิแอบทุจริตเลือกตั้ง ส่วนการติดรูปผู้สมัครให้ดูในคูหา ก็แค่อำนวยความสะดวก เพราะผู้ใช้สิทธิอาจจำผู้สมัครไม่ได้

ไม่ว่าเหตุผลของ กกต.จะฟังขึ้นหรือไม่ แต่ความลับและความอิสระในการลงคะแนนย่อมสำคัญกว่า นี่เองจึงนำไปสู่การฟ้องต่อศาลปกครองของภาคประชาชน เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ อ.เจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็น 1 ในผู้ที่เชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้เป็นไปโดยลับ ถือเป็นความผิดชัดเจน ทั้งผิดต่อ รธน. และผิดต่อกติการะหว่างประเทศ

อันนี้มันชัดแจ้ง ผิดไม่ใช่เฉพาะกฎหมาย รธน.ด้วยซ้ำไป กติการะหว่างประเทศนี่ก็ผิด เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีความผูกพันว่า การเลือกตั้งจะต้องเป็นไปโดยลับ คือถ้าผมไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง แล้วมีคนเขาดูผมอยู่ ถ้าผมกาให้คนอื่น มันไม่ความลับแล้วละ เพราะฉะนั้นการทำเช่นนี้ไม่ใช่ทำเขตเดียว ทำกันทั้งประเทศ ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นโดยการตัดสินใจโดยอำเภอใจของ กกต.ที่ขัดต่อกฎหมายภายใน กฎหมาย รธน. และขัดต่อกติกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในหลักสากลเขารับไม่ได้นะทำเช่นนี้ จะอ้างเหตุผลอะไรก็อ้างไม่ได้ เป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้เลยทีเดียว เพราะถ้าผู้หย่อนบัตร ประชาชนไปหย่อนบัตร แล้วผู้มีอำนาจตรวจสอบอยู่ เขาก็จะต้องลงคะแนนโดยความหวาดกลัว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ กกต.ทำ ผิด มันเลยทำให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ชอบ เป็นโมฆะในความหมายของผม ผมเห็นว่า เป็นโมฆะ

นายวีระชัย แนวบุญเนียร

ด้าน อ.ประหยัด หงษ์ทองคำ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ก็เห็นเช่นเดียวกันว่า การเปลี่ยนทิศคูหาเลือกตั้ง ผิดทั้งกฎหมายไทย และหลักสากล และว่า ถ้าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ เชื่อว่า จะได้เห็นการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. โมฆะแน่นอน

การตั้งคูหาให้มองเห็นได้ มันผิดหลักทั้ง ม.104 และหลักของการเลือกตั้งตามหลักสากล หลักสากลเขาบอกว่า การเลือกตั้งนั้นต้องเป็นการลงคะแนนลับ ถ้าไม่ตะแบงอย่างที่เลขาฯ กกต.ใช่มั้ย ที่ออกมาแถลงมาอ่านคำแถลงเป็นข้อๆ ผมว่า ตะแบง ไม่ยอมรับความจริง คุณไปศึกษาดูนะว่า ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของเรา เขาตั้งคูหาอย่างนั้นมาหรือ เคยตั้งคูหาอย่างนั้นมาหรือเปล่า ไม่เคย เพราะฉะนั้นมันผิดแน่ๆ และถ้าหากว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาคดี ผมเชื่อว่า ก็คงจะได้เห็นการเลือกตั้งเป็นโมฆะทั้งยวง

ขณะที่ ผศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล แห่งภาควิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แนะว่า หลังการเลือกตั้งครั้งนี้แล้วเสร็จ กกต. ควรแสดงความรับผิดชอบต่อการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมนี้ด้วยการลาออก หากไม่ยอมลาออก ประชาชนก็ควรจะใช้สิทธิยื่นถอดถอน กกต. เพราะเหตุผลในการเปลี่ยนทิศคูหา ล้วนเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ได้

ผมคิดว่า เหตุผลของ กกต.เป็นเหตุผลที่ตลกมาก ตลกกระทั่งผมไม่คิดว่า กกต.จะให้เหตุผลแบบนี้ได้ ทั้งๆ ที่มันเห็นไปในทางตรงกันข้าม การจัดคูหาเป็นการจัดให้คนไม่สามารถใช้สิทธิของตนเองได้อย่างเป็นอิสระ ซึ่งนี่คือหลักของการเลือกตั้งพื้นฐานเลยว่า การจัดเลือกตั้งต้องทำให้คนสามารถทำให้คนสามารถลงคะแนนได้อย่างอิสระ ผมรู้สึกว่า กกต.ทำเรื่องนี้เละเทะมาก ...ผมคิดว่าทั้งหมดนี้มันต้องนำมาสู่คำถามว่า ที่ทำไปเนี่ย มันได้ทำลายหลักการพื้นฐานของการจัดการเลือกตั้งหรือเปล่า ผมคิดว่า ติดรูป(ผู้สมัครในคูหา)ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ผมคิดว่า ที่สำคัญที่สุดคือ การจัดการเลือกตั้งที่ไม่ทำให้เกิดการเป็นความลับ ไม่สามารถทำให้คนลงคะแนนได้อย่างอิสระ ผมคิดว่านี่ ทำให้การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นมันไม่ชอบธรรมแล้วล่ะ ถ้าพ้นจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้า กกต.ไม่ลาออกหรือไม่แสดงความรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมก็อยากจะยุให้ประชาชนใช้สิทธิถอดถอน กกต.ไปเลยว่า ทำหน้าที่ผิดพลาด ผมไม่อยากให้ กกต.อาย ผมว่า น่าจะลาออกไป แสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง กับการเลือกตั้งที่มันเละเทะสิ้นดี

พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ

ส่วนกรณีที่ กกต.มีมติเปิดรับสมัครใหม่ใน 38 เขตที่ผู้สมัครได้คะแนนไม่ถึง 20% ซึ่งหลายฝ่ายวิจารณ์ว่า กกต.ใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพราะ กกต.ไม่มีอำนาจเปิดรับสมัครใหม่ แต่ต้องจัดให้เลือกตั้งใหม่โดยใช้ผู้สมัครคนเดิมเท่านั้น นอกจากนี้การเปิดรับสมัครใหม่ยังเข้าทางพรรคไทยรักไทย เพราะผู้สมัครพรรคเล็กสามารถลงแข่งได้ ทำให้คะแนนไม่ต้องถึง 20% ก็ได้เป็น ส.ส. ไม่แค่นั้น กกต.ยังเปิดทางให้ผู้สมัครที่เคยแพ้ในเขตอื่น เวียนเทียนด้วยการย้ายเขตย้ายจังหวัดลงสมัครได้ใหม่ ทั้งที่ยังไม่มีการประกาศรับรองผลเลือกตั้งในเขตเดิม โดย กกต.อ้างง่ายๆ ว่า เป็นสิทธิของผู้สมัครแต่ละคน ถ้าคุณสมบัติครบ ก็ลงสมัครใหม่ได้ กกต.จะไปห้ามได้อย่างไร นอกจากนี้ กกต.ยังสั่งให้เลือกตั้งใหม่ในเขต 3 สมุทรสาคร ที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวจากพรรคไทยรักไทย หลังส่อเค้าว่าการเลือกตั้งไม่สุจริต เนื่องจากจำนวนบัตรลงคะแนนกับจำนวนผู้ใช้สิทธิไม่ตรงกัน แทนที่ กกต.จะตรวจสอบว่า การทุจริตนั้นเกิดจากอะไร และเกี่ยวข้องกับผู้สมัครพรรคไทยรักไทยที่ลงแข่งกับตัวเองหรือไม่ กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็สั่งเลือกตั้งใหม่ โดยให้สิทธิผู้สมัครรายเดิมต่อไป ทั้งหลายทั้งมวลที่กล่าวมา กกต. ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า พยายามอย่างสุดชีวิต ที่จะให้ทุกเขตใน 38 เขตมีผู้สมัครมากกว่า 1 เพื่อที่สภาจะได้ครบ 500 จะได้เปิดประชุมสภาได้หลังครบกำหนด 30 วันแห่งการจัดเลือกตั้งในสิ้นเดือน เม.ย.นี้ โดย กกต.พยายามยืนยันว่า เป็นหน้าที่ที่ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ ไม่ได้เข้าข้างรัฐบาลหรือทำเพื่อพรรคไทยรักไทยแต่อย่างใด

นี่ยังไม่รวมสารพัดข้อกล่าวหาที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอาจารย์ด้านนิติศาสตร์ 60 คนจาก 14 สถาบันที่ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เช่น กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ แจกเงินอาจารย์อาชีวะในงาน พลังอาชีวะสร้างชาติ ที่เมืองทองธานี วันที่ 25 ก.พ.หลังยุบสภา 1 วัน โดยมีรูปยืนยันการแจกเงินนี้ใน นสพ.มติชน เมื่อวันที่ 26 ก.พ. และมีการตีพิมพ์ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณแจกเงินให้กับอาจารย์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการของนักศึกษาอาชีวะ แต่อนุกรรมการที่ กกต.ตั้งให้ตรวจสอบ ก็ไม่ติดใจ เพราะเชื่อตามที่พรรคไทยรักไทยยืนยันว่า ไม่ได้แจกเงิน แค่สมัครนิตยสารของนักเรียนอาชีวะจำนวน 20,000 บาท พร้อมอ้างมีใบเสร็จรับเงินยืนยันได้ ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือพิมพ์มติชนได้มีการตรวจสอบและรายงานว่า ใบเสร็จดังกล่าวมีพิรุธหลายจุด เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ สมัครสมาชิกตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. แต่ใบเสร็จออกให้ในวันที่ 3 มี.ค. นอกจากนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ทราบว่า มีผู้สมัครเป็นสมาชิกนิตยสารดังกล่าวในวันเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมาก แต่เหตุใดใบเสร็จที่ออกให้จึงมีเพียง 10 ราย แถมยังมีใบเสร็จของ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวที่ออกให้ในวันที่ 3 มี.ค. ส่วนที่เหลือออกให้วันที่ 10 มี.ค. เป็นต้น นอกจากนี้ถ้าสังเกตจะพบว่า ในภาพ-ผู้ที่กำลังไหว้และเตรียมรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั้น คือ อาจารย์ ไม่ใช่นักศึกษาหรือนักเรียน จึงน่าจะเป็นคนละกรณีกับการสมัครสมาชิกนิตยสารของนักเรียนอาชีวะ นอกจากนี้จำนวนเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังมอบให้อาจารย์ในภาพ ก็ไม่ได้มากขนาดจะถึง 20,000 บาทตามที่อ้างว่าเป็นค่าสมัครสมาชิกนิตยสาร เหล่านี้เป็นต้น ไม่แค่นั้นยังมีกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปปราศรัยที่ จ.ขอนแก่นตอนหนึ่งเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ว่า ปีนี้หนองผือได้เอสเอ็มแอล 3 แสนบาทต่อปี ปีหน้า 3 แสนบาท ปีต่อไปได้ 3 แสนบาท แต่มีข้อแม้ตนต้องได้เป็นนายกฯ ซึ่งอนุกรรมของ กกต.ก็อ้างว่า ไม่ผิด เพราะเรื่องเอสเอ็มแอลเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศให้ประชาชนทราบ และเงินที่จะนำมาแจกก็เป็นงบประมาณของรัฐบาล ไม่ใช่เงินส่วนตัวหรือเงินของพรรค ซึ่งก็น่าสงสัยว่า การนำนโยบายรัฐบาลหรือนำงบประมาณมาขายหรือหาเสียง โดยสัญญาว่าจะให้ เพื่อจูงใจผู้ใช้สิทธิให้เลือกตน เป็นสิ่งที่ผู้สมัคร ส.ส. ทำได้เช่นนั้นหรือ? หรือแม้แต่กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สัญญาบนเวทีปราศรัยเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ท้องสนามหลวงว่า ลูกท่านที่จะเข้าประถม ตั้งแต่ปีการศึกษา 2550 ...ผมจะให้ลูกประถมหนึ่งของท่านนี่ล่ะ ถือคอมพิวเตอร์ไปโรงเรียน เอาไหม... ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ถือว่ากระทำผิดตาม ม.44(2) ของ พรบ.เลือกตั้งอย่างชัดเจน แต่จุดนี้ไม่มีคำตอบจากอนุกรรมการของ กกต.ว่า การพูดดังกล่าวจะเข้าข่ายผิดแต่อย่างใด รวมถึงกรณีที่นางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร มารดาของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร หรือแม่ยาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แจกเสื้อ ทักษิณสู้ๆ และผ้าโพกหัวแก่ผู้ชุมนุมกลุ่มคาราวานคนจนที่สวนจตุจักร ซึ่งอนุกรรมการของ กกต.ก็อ้างว่า ต้องมีทั้งภาพและเสียงยืนยันว่า นางพจนีย์แจกจริง แถมยังดักคออีกว่า ถ้านางพจนีย์ไม่ได้พูดชวนให้ผู้ชุมนุมเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ หรือเลือกเบอร์ 2 ก็ไม่ถือว่าผิด ฯลฯ ตกลงว่า อนุกรรมการของ กกต. รวมทั้ง กกต.เอง จะให้สาธารณชนจำใส่ใจไว้ว่า ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หรือเครือญาติ จะทำอะไร ก็ไม่เคยผิดในสายตา กกต.ใช่หรือไม่? จะได้ไม่ต้องเสียเวลาร้องเรียนหรือรอความหวังใดใดจาก กกต.อีกต่อไป

หลักฐาน พ.ต.ท.ทักษิณ แจกเงินอาจารย์ในงานพลังอาชีวะสร้างชาติ

อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ตั้งข้อสังเกตว่า กกต.ตัดสินในหลายๆ เรื่องตลกมาก บางเรื่องก็ตีความซะกว้าง แต่บางเรื่องก็ตีความแคบ จนหามาตรฐานอะไรไม่ได้

ผมคิดว่า กกต.ตัดสินในหลายเรื่อง ผมคิดว่าตลก คือบางครั้ง กกต.ตีความเข้มงวด เช่น ถ้ายังจำได้ กรณีคุณลีน่า จัง ลงสมัครผู้ว่า กทม. คือ ถือป้าย แค่เอาคนมาเต้นเชียร์ ผิดแล้ว จะเห็นว่า กกต.วินิจฉัยเรื่องทั้งหมดเนี่ย มันหามาตรฐานไม่ได้ บางเรื่องคุณตีความซะกว้าง บางเรื่องตีความแคบ ผมคิดว่า นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาของ กกต.ชุดนี้ เลยทำให้หนีไม่พ้นที่เราจะมองว่า กกต.เอาเข้าจริงคล้ายๆ เป็นองค์กรที่ไม่ได้เป็นกลางจริงในเรื่องนี้

ขณะที่ อ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต ก็ชี้ว่า คนที่เป็น กกต.มักจะเป็นอดีตข้าราชการ จึงทำงานด้วยความเกรงใจรัฐบาล นอกจากนี้ในแง่การตีความกฎหมาย ก็ขึ้นอยู่ว่า ตีความโดย กกต.ชุดไหน ซึ่งเมืองไทยก็แปลก ที่ให้อำนาจ กกต.มากเกินไป แทนที่จะให้เป็นเรื่องของศาล เมื่อ กกต.มีอำนาจมากเกินไป แล้วตัวเองก็ไม่รู้ว่า ควรจะใช้อำนาจมากน้อยแค่ไหน จึงเป็นปัญหาตลอด และเกิดความไม่เป็นธรรมอยู่บ่อยครั้ง เพราะบางครั้ง กกต.ก็ตีความกฎหมายกับบางบุคคลได้ แต่สำหรับ บางคน กกต.กลับไม่กล้าตีความ!!

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์