ป๋าเหนาะน้ำตาคลอทิ้งทรท.เตือนปชช.อย่าเลือกคนวิปริตบริหารประเทศ

เสนาะ น้ำตาคลอเบ้า สะบัดปากกาลาออกจากสมาชิกไทยรักไทย พร้อมลูก-หลาน จวกทักษิณ ตะบัดสัตย์ พฤติกรรมชั่วร้ายใช้กฎหมายโกยผลประโยชน์ตัวเอง เตือนสติประชาชนอย่าเลือกคนวิปริตเข้าบริหารประเทศ กระทุ้งคนในเครื่องแบบช่วยกันรับผิดชอบบ้านเมือง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25กพ) บรรดา ส.ส.ตระกูลเทียนทอง ทั้งนายสรวงศ์ เทียนทอง นายฐานิส เทียนทอง และน.ส.ตรีนุช เทียนทอง อดีต ส.ส.สระแก้ว พรรคไทยรักไทย รวมทั้งนายประมวล รุจนเสรี อดีต ส.ส.รายชื่อ นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีต ส.ส รายชื่อ นายเกรียง กัลป์ตินันทน์ อดีต ส.ส.อุบลฯ และนายบุญถึง ผลพาณิชย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ได้ทยอยเดินทางเข้าพบ นายเสนาะ เทียนทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ที่บ้านเมืองทองธานี

จากนั้นในเวลา 14.45 น. นายเสนาะ พร้อมด้วย น.ส.ตรีนุส นายสรวงศ์ นายฐานิส นายประมวล นายชูชีพ และนายบุญ ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายเสนาะ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนที่เรามีภารกิจร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย ตนในฐานะเป็นผู้หนึ่งที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการการเมือง อาสาเข้ามาทำหน้าที่นี้แทนประชาชน ผ่านการเมืองมามากตั้งแต่หนุ่มจนอายุ 72 ปี รู้สึกว่าตั้งแต่เล่นการเมืองมาไม่เคยเห็นยุคไหนเหมือนยุคนี้ตนในฐานะที่เป็นผู้จุดประเด็นและผลักดันให้คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ และได้ตัดสินใจสนับสนุนโดยมีสนธิสัญญาต่อกัน และได้เสียงสนับสนุนเข้ามาเกือบ 100 คน แต่มาวันนี้ตนต้องขออภัยต่อพี่น้องประชาชน ไม่คิดว่าคนๆนี้จะตระบัดสัตย์ ตนไม่ถือสาอะไรหากตระบัดสัตย์กับตน แต่ไปตระบัดสัตย์กับแผ่นดินตนรับไม่ได้ ทุกคนคงจำได้ว่าตนได้อภิปรายในสภาเพื่อเปิดหู เปิดตาประชาชน ให้ทราบถึงแก่นแท้ของคนๆ นี้ พรรคการเมืองพรรคนี้ว่า ที่คิดตั้งพรรคขึ้นมาได้มีการไตร่ตรองไว้ก่อน โดยอาศัยรัฐธรรมนูญซึ่งตนเคยค้านมาก่อนตั้งแต่แรก จนทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนไม่เข้าใจ แล้วตั้งฉายาตนว่า ไดโนเสาร์

นายเสนาะ กล่าวว่า เมื่อถึงตรงนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก สังคมโดยรวมแม้กระทั่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ก็ยอมรับว่าเกิดช่องโหว่การให้อำนาจคน และถกเถียงกันว่าผู้บริหารประเทศในขณะนี้ปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญและเจตนารมณ์โดยสิ้นเชิง ตนมีแถลงการณ์เพื่อเปิดหู เปิดตาประชาชน ให้ทราบถึงพฤติกรรมของคนๆ นี้ และกำลังวางแผนชั่วร้ายอีก ขอแถลงผ่านสื่อไปยังพี่น้องประชาชน ว่าคนชื่อนายเสนาะ เทียนทอง ไม่เคยตระบัดสัตย์กับตนเอง มั่นคงในคำพูดของตัวเองและอุดมการณ์ที่จะเห็นส่วนรวมยิ่งใหญ่กว่าส่วนตัว

ทั้งนี้ นายเสนาะได้มอบหมายให้ น.ส.ตรีนุช อ่านแถลงการณ์ ที่นายเสนาะเขียนขึ้น โดยมีข้อความว่าจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ถูกทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งข้อเท็จจริงบางประการให้พี่น้องประชาชนได้ทราบในขณะเดียวกันก็เพื่อกราบขอโทษพี่น้องประชาชนในฐานะที่ครั้งหนึ่งผมมีส่วนร่วมในการช่วยส่งเสริม สนับสนุน ให้บุคคลบางกลุ่ม บางคน มีอำนาจก่อเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ให้แก่บ้านเมืองในครั้งนี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่การเลือกตั้ง พ.ศ.2544 จนกระทั่ง ครั้งที่สอง พ.ศ.2548ซึ่งสามารถนำพาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าสู่สภา ฯ ได้มากที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น ขึ้นอยู่กับฐานความคิดบางประการ ที่พี่น้องประชาชนมีให้กับนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ประการสำคัญ ก็เนื่องจากคุณสมบัติส่วนตัวของท่านที่ถึงพร้อมด้วยชาติวุฒิ คุณวุฒิ ประกอบกับความสำเร็จในทางธุรกิจ ทำให้พี่น้องประชาชน รวมทั้งตัวผมเอง เชื่อมั่นในลำดับแรกว่า ท่านสมควรได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ ในวันที่ประเทศของเราอยู่ในภาวะที่อ่อนแอจากภาวะสงครามทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญจากประโยคบอกเล่าของใครบางคนบางประโยคที่แม้ในวันนี้ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของผม นั่นคือ ผมพร้อมแล้วผมจะใช้หนี้ให้แผ่นดิน ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะตัดสินใจเข้าร่วมอุดมการณ์ภายใต้ความเชื่อมั่นในตัว ท่านผู้นำ ท่านนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่ผมที่มอบความไว้วางใจให้กับท่าน ผมยังได้ชักชวน เชื้อเชิญ รวมทั้งช่วยโหมกระบวนการโฆษณาประชาสัมพันธ์สรรพคุณของท่านผู้นำ แก่สมาชิกลูกหลาน กลุ่มการเมืองที่ร่วมอุดมการณ์กันมา รวมทั้งประชาชนทั่วไป ให้สมัครใจที่จะช่วยกันทุ่มเททำงานให้บ้านเมืองภายใต้การนำของ ท่านผู้นำ ท่านนี้ จนนำไปสู่การชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ในครั้งที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์ข้างต้น จนมาถึงวันนี้ วันที่ผม วันที่พี่น้องประชาชน ได้ประจักษ์แก่ตัวเองแล้วว่า สิ่งที่พวกเราเชื่อในวันนั้น มันเป็นเพียง ภาพลวงตา มันเป็นเพียง กลไกทางการตลาด เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ จากความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด บนฐานความคิดของ ทุนนิยมสุดขั้ว ถูกนำมาใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อชักนำผลประโยชน์ให้กลับสู่ตนเองและพวกพ้องอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วง กว่า 30 ปีของการทำงานทางการเมืองของผม ฐานความคิดดังกล่าว จะไม่มีวันถูกตำหนิ หากท่านยังคงยึดมั่นอยู่กับการทำงานทางธุรกิจของท่าน แต่กับความเป็นชาติ ซึ่งไม่ได้มีเพียงมิติทางตัวเลข มิติทางเศรษฐกิจ เพียงอย่างเดียว การคำนึงถึงความเป็นแบบอย่างที่ดี ความเป็นผู้ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมจริยธรรม ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ด้วยคำพูดเพื่อสร้างภาพที่ ดูดี ให้ปรากฏต่อสังคม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก สำหรับคนทำหน้าที่เป็นผู้นำของคนทั้งชาติ ซึ่งหลายครั้งหลายหน จากความเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองในระดับที่สูงมาก จนไม่อาจมีใคร บังอาจ ให้ความเห็นหรือตักเตือนได้ ทำให้ท่านดูจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้อยไปกว่าตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ยังเป็นข้อกังขาว่าเป็นเศรษฐกิจของชาติ หรือเศรษฐกิจของท่านกันแน่

พี่น้องประชาชนที่รัก การทำงานให้กับส่วนรวม โดยเฉพาะการทำงานใหญ่ให้กับประเทศชาติ คงหลีกเลี่ยงกับความล้มเหลวความผิดพลาดไปไม่ได้ เหตุเพราะมันเป็นธรรมชาติของคนทำงาน แต่ความผิดพลาดจากการทำงานที่เกิดจากผลของการวางแผน ไตร่ตรองไว้ก่อน โดยใช้ข้ออ่อนด้อย ใช้ช่องว่าง ของกฎหมาย แล้วภายหลังถูกสังคม จับได้ เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจยอมได้ และผมก็เชื่อว่าเพราะพวกเราไม่อาจยอมจำนนกับสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของวันนี้ วันที่พวกเราต้องพร้อมใจกันตะโกนดังๆ ที่ข้างหูของท่านผู้นำว่าท่านหมดเวลา หมดความไว้วางใจที่จะเป็นผู้นำประเทศแล้ว

ผมทำจดหมายฉบับนี้ ผมพูดวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ท่านผู้นำ ไม่ใช่เพราะเป็นวันนี้ วันที่ใครต่อใครพากันกล่าวว่าเป็น ขาลง ของท่าน หรือไม่ใช่ในแบบที่บริวาร สอพลอ ของท่าน พยายามกล่าวโทษว่าผม โหนกระแส หากพี่น้องประชาชนยังพอจำได้ ผมเป็นคนแรกที่ จุดกระแส การตรวจสอบท่านโดยถูกต้องตามกติกาของการใช้สภา ฯ เป็นเวทีของแก้ปัญหา มาตั้งแต่ช่วงต้นของรัฐบาลชุดนี้ ผมเป็นคนชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของข้อกฎหมายหลายฉบับ รวมทั้งรัฐธรรมนูญ ที่ท่านผู้นำใช้สติปัญญาอันปราดเปรื่องของท่าน หาประโยชน์เอากับกฎระเบียบของสังคมเหล่านั้น รวมทั้งเปลี่ยนแปลงความหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยมีความหมายในเชิงเอื้อประโยชน์สูงสุดแก่คนทั้งชาติ มาเป็นเพียงเอื้อประโยชน์แก่คนเฉพาะกลุ่ม และแฝงไว้ซึ่งการปกครองแบบ อำนาจนิยม แบบที่ใครไม่กล้าที่จะปริปากเรียกร้อง หรือต่อรองขอความเห็นใจจากท่าน เนื่องจากพลังอำนาจที่ท่านถืออยู่ในมือสามารถกำหนดชะตาชีวิตให้แก่ผู้ที่พยายามจะร้องขอเหล่านั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมอาจจะเป็นคนมีต้นทุนทางสังคมไม่สูงนัก จึงมักถูกท่านและบรรดาบริวาร สอพลอ ดูแคลนในความคิดความอ่าน รวมทั้งข้อแนะนำของผมเสมอมา แต่จากเหตุการณ์ในวันนี้ ที่ใคร ๆ ต่างพากันตำหนิท่าน ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญที่หลาย ๆ ฝ่ายที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันเลยในทางการเมือง หรือผลประโยชน์ ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิการทำงานของท่าน รวมทั้ง ไล่ตะเพิด ให้ท่านหลุดพ้นออกจากกระแสการเมืองมันน่าจะเป็นเครื่องรับประกันในระดับหนึ่งว่าเหตุผิดพลาดบกพร่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเกิดเพราะ ใครกันแน่

จากเหตุผลข้างต้น ผมจึงอยากที่จะขอกล่าวขอโทษต่อพี่น้องประชาชนทุกท่าน ในความผิดพลาดที่ครั้งหนึ่งผมหลงไว้ใจคนผิด รวมทั้งชักชวนพวกท่านให้หลงเข้าใจผิดไปด้วย จนทำให้เราประสบชะตากรรมในวันนี้ร่วมกัน อย่างไรก็ตามผม รวมทั้งสมาชิกในครอบครัว เทียนทอง ทุกคน แม้วันนี้จะไม่มีโอกาสรับใช้พี่น้องประชาชนในทางการเมืองในระบอบรัฐสภา แต่พวกเรายังมุ่งมั่นทำงานรับใช้บ้านเมืองของเราในสถานะอื่น พวกเราในครอบครัว เทียนทองทั้งหมด คงต้องขอลาออกจากความเป็นสมาชิก พรรคไทยรักไทย ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเราได้มีส่วนร่วมในการสร้างพรรคมาด้วย ณ บัดนี้ แต่อย่างไรก็ตามเราเห็นใจ และเห็นคุณค่าในตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภายในกลุ่ม ภายใต้อุดมการณ์เดียวกับพวกเรา และจะไม่มีการติเตียนหากการสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ ยังคงต้องเดินหน้าต่อสู้ในทางการเมืองร่วมกับพรรคไทยรักไทย ต่อไป ด้วยเหตุผลในข้อจำกัดของข้อกฎหมาย ซึ่งในข้อเท็จจริงพวกเขาเหล่านั้นไม่มีทางเลือก จึงต้องจำทนอยู่กับกติกาเดิม ๆ กับสภาวะอันเลวร้ายในครั้งนี้ ภาวะที่ไร้เสรีภาพ และไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งมิได้เกิดต่อบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหล่านี้ เท่านั้น แต่เป็นความเลวร้ายที่เกิดต่อชาติบ้านเมืองและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างกว้างขวาง

ผมขอขอบพระคุณในความปรารถนาดี ทั้งในแง่การให้คุณค่า และการกล่าววิพากษ์วิจารณ์ การตำหนิติเตือน รวมทั้งการให้แง่คิดในการทำงานของผมตลอดระยะเวลาที่ผมมีโอกาสรับใช้ชาติในทางการเมือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดส่งผลเป็นตะกอนความคิด ทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงออกในวันนี้ และเป็นการแสดงออกซึ่งผมอยากจะยืนยันด้วยหัวอกแห่งความเป็นลูกผู้ชาย แห่งความเป็น คนจริง ของผมว่าเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นไปเพื่อหวังประโยชน์แห่งคนในชาติเป็นที่ตั้ง เป็นไปเพื่อธำรงไว้แห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์พระประมุข และสุดท้ายเป็นไปเพื่อรักษาคุณค่าในคุณธรรม จริยธรรมของคนในชาติ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการธำรงความเป็นชาติของเราไว้ให้แก่ลูกหลานในอนาคตสืบไป

จากนั้น นายเสนาะ กล่าวสรุปตอนท้ายว่า อธิปไตยของชาติเราได้มีสถาบันสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ มีศาสนาแต่เราไม่เคยบังคับให้ใครนับถือศาสนาอะไร นี่คือคนไทย เรามีสถาบัน มีข้าราชการที่จะเป็นตัวจักรสำคัญ เพื่อทำให้นโยบายของรัฐเป็นรูปธรรม เรามีทหารเป็นกองทัพที่เรียกว่า 3 เหล่าทัพ เราต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินมากมายตลอดจนต้องเสียบุคลากรที่สำคัญที่จะต้องพลีชีพรักษาชาติและปกป้องอธิปไตย เรามีงบประมาณเพื่อยังประโยชน์ด้านความมั่นคงให้กับคนในชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่คือคำปฏิญาณของทหาร เราได้มีสัญญาต่อกันว่าเราจะไม่ยอมเสียอธิปไตยแม้แต่ฟุตให้กับใครนี่คือคำปฏิญาณของคนที่เกิดมาเป็นคนไทย แต่บัดนี้ปัญหาบ้านเมืองเกิดอยู่แค่คนๆ เดียว ความวุ่นวายทั้งหลายเกิดที่คนๆ เดียว แล้วันเอาอำนาจอธิปไตยของคนในชาติไปวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รัฐสภาที่มี ส.ส.มาเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมาย ตั้งกระทรวงเฉพาะกิจ เช่น กระทรวงไอซีที กระทรวงพลังงาน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มีการเอา ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่า ปตท.เป็นหัวใจด้านพลังงานของประเทศ ก็เอาไปเป็นของตัวเองและต่างชาติ จากนั้นก็มีการประกาศลอยตัวน้ำมัน เหมือนกรณีการประกาศเงินบาทลอยตัว ตนอยากถามว่าหุ้น ปตท.มีกี่ตระกูลที่ถือหุ้น บังคับ ส.ส.ให้อยู่ในกรอบกติกา ล่าสุดมีการบังคับ ส.ส.ที่ร่วมอุดมการณ์ด้วยกัน ไม่ให้เหยียบบ้านนี้ โดยขู่ต่างๆ เช่น ไม่ส่งลง ส.ส. เอาทรัพย์สินของประชาชนมาเป็นของตนเอง

ผมขอฝากประเทศไว้กับพี่น้องประชาชน ไว้กับคนแต่งเครื่องแบบที่อาสาเข้ามาดูแลประเทศชาติร่วมกัน เพราะขณะนี้ไม่มีศึกสงครามภายนอก แต่กำลังสู้ศึกภายใน ยิ่งรุนแรงและร้ายแรงกว่า เพราะคนๆ นี้ชอบอ้างว่าทำถูกกฎหมาย ถึงเวลาแล้วที่เราจะไม่ปล่อยให้คนๆ เดียวสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติต่อไปนายเสนาะ กล่าวและว่า การยุบสภาครั้งนี้เป็นการยุบสภาที่จนตรอก เมื่อก่อนมีการอภิปรายในสภาและได้จับผู้ร้ายโกงบ้านโกงเมือง ปอกเปลือกแก้ผ้าโทงๆ แล้วเราจะเอาผู้นำที่โกงชาติ โกงแผ่นดินมาเป็นผู้นำอีกต่อไปหรือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายเสนาะได้หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นต์ใบลาออกด้วยน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกับผู้ร่วมแถลงข่าวได้ร่วมลงนามในหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคไทยรักไทย โดยนายเสนาะ กล่าวว่า การลาออกไม่ใช่พรรคไม่ส่งลงสมัคร เพราะอยู่ต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว และตนก็ไม่ได้เอาลูกหลานไปสมัครพรรคอื่น ตนไม่ได้เตรียมการชั่วร้ายอย่างนั้นไว้ ฉะนั้นขอลาออกจากพรรคไทยรักไทย เคยประกาศวางมือในตำแหน่ง แต่ไม่วางความรับผิดชอบ จะสู้เพื่อบ้านเมือง เมื่อถามว่าเมื่อวางมือจากการเมืองจะช่วยบ้านเมืองอย่างไร นายเสนาะ กล่าวว่า ตนยังมั่นใจว่าบ้านเมืองมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันสูงสุด ฉะนั้นทุกอย่างจะต้องเกิดจากประชาชน บ้านเมืองยังไม่ถึงทางตัน แต่มีเหตุทำให้บ้านเมืองเสียชื่อเสียง เพราะถึงทางตันของผู้นำที่จับได้ไล่ทันและไม่รู้จะออกไปทางไหน ตนเชื่อว่าบ้านเมืองยังไม่ถึงทางตัน ประเทศไทยยังมีคนดีอีกมากในการเข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไป

เมื่อถามว่า จะมีการตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า เรื่องการตั้งพรรคการเมืองใหม่เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถามต่อว่าพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน เชื่อว่าจะไม่มีการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.นี้ นายเสนาะ กล่าวว่า อะไรที่ไม่ชอบธรรม แผ่นดินนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่เกิดอะไรที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนรู้อยู่แต่ยังจะมาลอยหน้า ลอยตาอยากกลับเข้ามาอีก มันเป็นความคิดของคนที่วิปริต แต่คนไทยทั้งชาติคงไม่วิปริตไปด้วย ตนคิดว่าทั้งประชาชนและคนแต่งเครื่องแบบจะมีจิตสำนึกร่วมกัน จะปล่อยให้คนที่ถึงทางตัน ที่ทำอะไรไม่ถูกต้องแล้วถูกจับได้ กลับเข้ามาใช้อำนาจปกครองบ้านเมืองอีกต่อไปถ้าถึงวันนั้นไม่รู้ว่าประเทศไทยจะไปอย่างไร เมื่อถามว่า นักวิชาการเสนอให้ฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงรับเลือกตั้ง ตรงนี้ทำได้หรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า ทำไมจะทำไม่ได้ แต่เป็นความเห็นเฉพาะตัว ส่วนพล.ต.สนั่นจะออกความเห็นอย่างไร เป็นเรื่องของพล.ต.สนั่น

เมื่อถามว่า การออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งไม่ถึงเดือน ไม่ยุติธรรมกับพรรคอื่นหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า ตนอยากให้ไปดูขั้นตอนการออกพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งว่ามีองค์ประชุมครบหรือไม่ เท่าที่รู้มามีแค่ 3 คน ไม่ครบองค์ประชุม ซึ่งถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและจะมีปัญหาตามมาภายหลัง เนื่องจากเป็นการรีบร้อนเกินไปในการออกพระราชกฤษฎีกา ด้านนายประมวล กล่าวว่าเรารู้มาตั้งนานแล้วถึงกรณีที่พรรคจะไม่ส่งพวกเราลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงได้จดทะเบียนขึ้นมาใหม่ โดยตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรคประชาราช